Acccloud โปรแกรมบัญชี

อยากยื่นขอใบแทนใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำยังไง ?

เอกสารใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ก.พ.20 ผู้ประกอบกิจการจะได้รับเอกสารใบนี้เมื่อ ธุรกิจได้รับรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยวิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ก.พ.20 เป็นเอกสารขนาด A4 ผู้ประกอบการมักเก็บไว้ในกรอบหรืออุปกรณ์ที่สามารถป้องกันไม่ให้เอกสารเสียหายได้ ซึ่งในเอกสารก็จะมีข้อมูลของ จุดสถานที่ตั้งของสถานประกอบการ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันทีให้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและข้อมูลสำคัญอื่นๆ  แต่ถ้าเอกสารได้รับความเสียหานจะทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้มีการใช้งานเอกสารทดแทนที่เรียกว่า “ใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” และมีวิธีการขอเอกสารอย่างไร 

ใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ

เอกสารที่ใช้ทดแทน “ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ที่ชำรุดหรือเสียหายได้

วิธีการยื่นขอใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

กรณีที่ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน ยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่กรณี หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://www.rd.go.th 

หมายเหตุ : ต้องยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบถึงการชำรุด สูญหาย หรือถูกทำลาย

เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • แบบคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.04) จำนวน 3 ฉบับ
  • ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ที่ชำรุด
  • ใบแจ้งความกรณีสูญหาย
  • หนังสือมอบอำนาจ กรณีให้ผู้อื่นทำการแทนปิดอากรแสตมป์ 10 บาท
  • บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว

เอกสารใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ทางที่ดีควรดูและเอกสารใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับจริงให้ดี จะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง หรือความยุ่งยากในการไปขอเอกสารใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 

ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ง่าย ๆ

หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจในปัจจุบัน สำหรับเหล่าผู้ประกอบการที่ได้รับรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เราจะมาแนะนำขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง และต้องเริ่มทำอย่างไร

สามารถยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ไหน

วิธีการยื่นเอกสารขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีหลักๆ อยู่ 2 วิธี คือ

1. การยื่นจดทะเบียน VAT แบบยื่นเอกสาร

การยื่นเอกสารคำขอจดทะเบียนจะแบ่งตามกรณีของบริษัทแต่ละบริษัท 3 กรณี ดังนี้

1. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่

2. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ และกรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอหรือกิ่งอำเภอที่กรมสรรพากรมิได้จัดอัตรากำลังไว้ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเดิมที่เคยควบคุมพื้นที่นั้น กรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ในท้องที่ที่สถานประกอบการอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว

3. กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ให้ยื่น ณ สำนักงานบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้ 

2. การยื่นจดทะเบียน VAT แบบออนไลน์

สำหรับวิธีการแบบออนไลน์ ให้ยื่นแบบคำขอผ่านทางเว็บไซต์ www.rd.go.th 

เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

เอกสารทื่ผู้ประกอบการต้องใช้ยื่นกับกรมสรรพากร ประกอบด้วย

เมื่อไหร่ที่เราจะต้องเริ่มยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่เราจะต้องเริ่มยื่น มีระยะเวลาอย่างไร

  • หลังจากวันที่มีมูลค่ารายรับมากกว่า 1.8 ล้านบาท ภายใน 30 วัน
  • วันที่เริ่มการประกอบกิจการไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการให้บริการ รวมไปถึงกรณีระหว่างการเตรียมที่จะประกอบกิจการ มีการซื้อสินค้าหรือการเข้ารับตัวบริการ ที่เข้าเงื่อนไขการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายใน 6 เดือน ก่อนวันเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ

และนี่ก็เป็นวิธีการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ง่าย ๆ จาก Acccloud ERP โดยวิธีแต่ละแบบก็สามารถเลือกได้ตามความสะดวกของผู้ประกอบการแต่ละท่าน ให้ประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปีก็สามารถยื่นได้ เช่นกัน

ภาษีย้อนหลัง คืออะไร ? ตรวจสอบยังไงได้บ้าง ?

การเสียภาษี เป็นกระบวนการทางการเงินที่สำคัญที่ประชาชนและธุรกิจทุกอย่างต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่ตนอยู่ การเสียภาษีเป็นวิธีที่รัฐบาลรวบรวมเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ ซึ่งเงินที่รัฐรวบรวมจากภาษีนี้จะถูกใช้ในการจ่ายค่าให้บริการสาธารณะ เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ การเคลื่อนที่ และโครงการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์สาธารณะ

ภาษีย้อนหลัง คือ

เป็นการชำระภาษีที่ไม่ครบตามกำหนด ซึ่งสรรพากรจะตรวจสอบว่าเข้าข่ายการเลี่ยงภาษีหรือไม่ โดยตรวจสอบจากย้อนชำระเก่า ๆ หากมียอดชำระที่แปลกไป สรรพากรจะตรวจสอบและติดต่อเราให้ชำระภาษีให้ครบตามที่กำหนดนั่นเอง

ค่าปรับภาษีย้อนหลัง

1. ยื่นเสียภาษีทันกำหนด แต่ไม่ครบ

  • เสียค่าปรับ 0.5 – 1 เท่าของภาษี

2. ยื่นเสียภาษีเกิดกำหนด

  • เสียค่าปรับ 1 -2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 2,000 บาท

3. ตั้งใจไม่ยื่นเสียภาษี

  • เสียค่าปรับ 2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 5,000 บาท จำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. เจตนาหนีภาษี

  • เสียค่าปรับ 2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 200,000 บาท จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภาษีย้อนหลัง มีอายุความกี่ปี

  • ภาษีเงินได้

ภาษีเงินได้ทั้งแบบบุคคลธรรมดาและแบบนิติบุคคล มีอายุความ 2 ปี สามารถขอขยายอายุความได้สูงสุด 5 ปี รวมถึงสรรพากรมีสิทธิในการดูรายการเดินบัญชีได้ตลอดเวลา

  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ

เป็นภาษีทีมาจากการประกอบกิจการ มีอายุความมากถึง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มยื่นภาษี ตามมาตรา 193/31 

ทำยังไง หากไม่อยากโดนเรียกภาษีย้อนหลัง ?

  • ยื่นและชำระภาษีให้ครบตามกำหนดทุกปี
  • ทำบัญชีการยื่นภาษีแบบรายเดือน
  • ตรวจสอบเอกสารรายรับของธุรกิจ
  • ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้งกับภาษี

ดังนั้น การปฏิบัติตามกฎหมายและชำระภาษีตามกำหนดอย่างถูกต้อง เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงในการโดนเรียกภาษีย้อนหลัง การปฏิบัติตามกฎหมายช่วยปกป้องความถูกต้องและลดความเสี่ยงในการเผชิญกับการโดนเรียกภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรได้นั่นเอง

ทริคการคำนวณภาษี สำหรับพนักงานเงินเดือน คำนวณยังไง เสียเท่าไหร่บ้าง ?

“ภาษี” คือเงินที่คนหรือธุรกิจต้องจ่ายให้รัฐหรือรัฐบาล เพื่อรองรับงบประมาณและการดำเนินกิจกรรมของรัฐ ภาษีมีบทบาทสำคัญในการเก็บเงินสำหรับรัฐเพื่อใช้ในการให้บริการสาธารณสุข การศึกษา การสร้างสถานที่สาธารณะ และอื่น ๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับประชาชน ซึ่งแต่ละประเภทของภาษีมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไป 

ฐานภาษี 

คือ ค่าหรือปริมาณที่ใช้เป็นพื้นฐานในการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายในภาษี ฐานภาษีสามารถเป็นรายได้ มูลค่า ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นวัตถุสภาพที่ใช้ในกระบวนการเก็บเงินภาษี โดยทั่วไปแล้ว ภาษีจะเริ่มต้นที่กลุ่มเงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี สูงสุดมากกว่า 5 ล้านบาทต่อปี มีวิธีคำนวณสูตรง่าย ๆ คือ

เงินได้สุทธิ = เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี

ภาษีมีอะไรบ้าง 

  • ภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา และ แบบนิติบุคคล
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ
  • ภาษีอากรแสตมป์
  • ภาษีสรรพสามิต

วิธีการคำนวณภาษี สำหรับพนักงานเงินเดือน

  • เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท : ได้รับยกเว้น
  • เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท : อัตราภาษี 5%
  • เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท : อัตราภาษี 10%
  • เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท : อัตราภาษี 15%
  • เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท : อัตราภาษี 20%
  • เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท : อัตราภาษี 25%
  • เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท : อัตราภาษี 30%
  • เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาท : อัตราภาษี 35%

ค่าลดหน่อยภาษี 

คือ รูปแบบหนึ่งของการลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในภาษีโดยตรง นั่นคือ ค่าลดหน่วยภาษีจะลดจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายในภาษีตรง ๆ นั่นเอง ไม่ใช่การลดรายได้ก่อนที่จะคำนวณภาษีแต่อย่างใด เช่น

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาทต่อคน (แรกเกิด – 20 ปี)
  • ค่าฝากครรภ์และตลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
  • ค่ากองทุนสำรองชีพ 15% ไม่เกิน 500,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนตามจริง ประกันชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท
  • อื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม การชำระภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด และชำระครบเป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าปรับที่เพิ่มขึ้น และช่วยให้รัฐนำภาษีไปใช้ในการพัฒนาส่วนกลาง รวมถึงบริการด้านสาธารณะต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินชีวิตได้ดีมากขึ้นนั่นเอง

ความสำคัญของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน !

พนักงานเงินเดือน (Salaried Employee) คือบุคคลที่ได้รับค่าจ้างในรูปแบบเงินเดือนที่มีค่าติดต่อกันในระยะเวลาที่กำหนดล่วงหน้า เป็นรายเดือน นอกจากนี้ พนักงานเงินเดือนยังมีสิทธิ์รับประโยชน์อื่น ๆ เช่น การลาพักร้อน การลาป่วย ประกันสุขภาพ และค่าตอบแทนอื่น ๆ ตามนโยบายของบริษัทด้วย

หนังสือรับรองเงินเดือน 

เป็นเอกสารที่ออกโดยนายจ้างหรือบริษัทที่จ้างงาน เพื่อยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงานเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือนมักใช้ในหลายสถานการณ์ เช่น เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการสมัครสินเชื่อที่ธนาคาร หรือเพื่อการยื่นเรื่องการศึกษาต่อหรือสมัครงานในบริษัทใหม่ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงรายได้ที่พนักงานรับจากการทำงานในบริษัทนั้น ๆ

ประโยชน์ของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน

  • ช่วยยืนยันรายได้ของพนักงาน
  • ใช่ในการยื่นสมัครงานใหม่
  • ใช้ในการย้ายสถานที่ทำงานใหม่
  • ใช้ในการสมัครสินเชื่อหรือประกัน
  • ใช้ในการยื่นภาษี
  • ใช้ในการยื่นสิทธิประโยชน์
  • ง่ายต่อการเช็คข้อมูลของเงินเดือนที่ได้รับ

อายุการใช้งานของหนังสือรับรองเงินเดือน

  • สำหรับยื่นสมัครบัตรของธนาคาร หรือยื่นขอประกันและสินเชื่อ จะใช้งานได้ไม่เกิน 30 วัน
  • สำหรับหน่วยงานราชการ สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 90 วัน
  • สำหรับยื่อของวีซ่า ใช้ได้ไม่เกิน 30 วัน และต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด 

หนังสือรับรองเงินเดือน ใครควรออกให้ ?

พนักงานเงินเดือน ไม่สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนเองได้ แต่ควรออกโดยนายจ้างหรือบริษัทที่จ้างงานพนักงาน นายจ้างหรือบริษัทมีหน้าที่ยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงาน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนมักต้องมีลายเซ็นหรือลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ของผู้มีอำนาจในบริษัทหรือองค์กรนั้น ๆ ให้กับพนักงานของตน

ข้อมูลในหนังสือรับรองเงินเดือน

  1. หัวข้อเอกสารคือ “หนังสือรับรองเงินเดือน”
  2. ชื่อและนามสกุล
  3. ชื่อและที่อยู่ของบริษัท
  4. ตำแหน่งงานที่ได้รับ
  5. เงินเดือนที่ได้รับ ไม่รวมโบนัสหรือสวัสดิการอื่น ๆ
  6. ระยะเวลาที่เริ่มทำงาน จนถึงวันที่ยื่นขอหนังสือรับรอง
  7. ใช้เพื่ออะไร เช่น ยื่นหน่วยงานราชการ ยื่นขอทำประกัน เป็นต้น
  8. วันที่ยื่นขอหนังสือรับรองเงินเดือน
  9. ลงชื่อผู้ขอหนังสือรับรองเงินเดือน
  10. ลงชื่อนายจ้างที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน
  11. ต้องมีตราประทับของบริษัท 

ดังนั้น ความสำคัญของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารสำคัญที่ใช้ในการยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงาน มีความสำคัญในกระบวนการสมัครงาน การขอสินเชื่อ การยื่นเรื่องประกันสังคม และสถานการณ์ทางการเงินและการทำงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายได้ของเราได้ดี

นักทำบัญชีฟรีแลนซ์ vs นักทำบัญชีในองค์กร ต่างกันอย่างไร

นักทำบัญชี คือบุคคลหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงินขององค์กรหรือบริษัท ซึ่งหน้าที่หลักของนักทำบัญชี คือ การบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนสำหรับการรายงานแก่ผู้บริหาร นักลงทุน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นักทำบัญชีฟรีแลนซ์ คือ

คือ บุคคลหรือนักวิชาชีพที่ทำงานเป็นอิสระ ให้บริการทางการบัญชีแก่ลูกค้าหรือองค์กรต่างๆ โดยไม่ต้องเป็นพนักงานประจำในองค์กรใด ๆ นักทำบัญชีฟรีแลนซ์มักมีความเชี่ยวชาญในการจัดทำบัญชีทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน การเตรียมเอกสารภาษี และงานที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงินในองค์กร

นักทำบัญชีในองค์กร คือ

นักทำบัญชีในองค์กร คือบุคคลที่ได้รับการจ้างเป็นพนักงานขององค์กรหรือบริษัท เพื่อดำเนินการทางด้านการบัญชีและการเงินขององค์กรนั้น ๆ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการจัดการและบันทึกข้อมูลทางการเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในองค์กร

อยากขึ้นทะเบียนนักทำบัญชี เตรียมตัวยังไง ?

การขึ้นทะเบียน สามารถทำได้ผ่านระบบเว็บไซต์ออนไลน์ได้ โดยจะทำผ่าน เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมนูผู้ทำบัญชี ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ เมื่อทำการลงทะเบียนและได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เราจะได้เลขประจำตัวมาเพื่อใช้แสดงความน่าเชื่อถือว่าเรานั่นเอง

เอกสารสำคัญที่ใช้ในการขึ้นทะเบียน

  1. สำเนาบัตรประชาชน
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. สำเนาวุฒิการศึกษา
  4. รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าชัดหลังตรง ไม่มีปิดบังใบหน้า สวมชุดสุภาพ พื้นหลังสีพื้น ไม่มีลวดลาย 
  5. ใบการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  6. ใบเสร็จค่าสมาชิกสภาวิชาชีพที่ยังไม่หมดอายุ
  7. รายชื่อลูกค้าที่รับทำบัญชี
  8. หลักฐานการพัฒนาความรู้วิชาชีพ (CPD)

สรุปก็คือ นักทำบัญชีฟรีแลนซ์มีความอิสระในการทำงานและให้บริการแก่ลูกค้าจากหลากหลายธุรกิจต่าง ๆ ในขณะที่นักทำบัญชีในองค์กร มักมีบทบาทและความรับผิดชอบในการบัญชีและการเงินขององค์กรโดยเฉพาะ และจำต้องปฏิบัติตามกำหนดที่มีในสถานที่ทำงาน เพื่อให้สะดวกต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำธุรกิจด้านการขนส่ง ต้องเตรียมตัวเสียภาษีอะไรบ้าง

ธุรกิจด้านการขนส่ง เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการขนส่งในทุกด้านของเศรษฐกิจ การขนส่งเป็นส่วนสำคัญของภูมิภาคพาณิชย์และการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจแต่ละแขนงกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและควบคุมกระบวนการขนส่ง เช่น การจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าในเวลาที่กำหนด เป็นต้น

แล้วธุรกิจการขนส่ง ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ?

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

เป็นภาษีที่คิดจากมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในกระบวนการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ภาษี VAT ถูกคิดจากมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการซื้อขายและตามท้องถิ่นที่มีกำหนดในแต่ละประเทศค่า ภาษี VAT ที่เรียกเก็บจากลูกค้าของธุรกิจส่วนใหญ่นั้นสามารถถูกหักลดหย่อนในกระบวนการซื้อขายในภายหลังได้ และเฉพาะค่าภาษี VAT ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการที่มีความเกี่ยวข้องกับการซื้อขายของธุรกิจการขนส่ง

  • ภาษีบุคคลธรรมดา

เป็นภาษีที่บุคคลธรรมดาต้องเสียตามรายได้ที่ได้รับต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงรายได้จากธุรกิจการขนส่งหากธุรกิจนั้นถูกดำเนินโดยบุคคลธรรมดา การเสียภาษีบุคคลธรรมดาจะขึ้นอยู่กับกฎหมายและเงื่อนไขภาษีของแต่ละประเทศ และอาจมีการลดหย่อนรายได้ต่าง ๆ ที่อาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องเสียลงด้วย

  • ภาษีนิติบุคคล

เป็นภาษีที่บริษัทหรือนิติบุคคลต้องเสียตามกำไรหรือกำไรสุทธิที่ได้รับจากธุรกิจของตน และมีผลกระทบต่อธุรกิจการขนส่งเช่นกัน ภาษีนิติบุคคลจะถูกคำนวณตามกำไรหรือกำไรสุทธิที่ขนส่งสร้างขึ้น โดยมีอัตราภาษีที่กำหนดโดยรัฐบาลของแต่ละประเทศ และอาจมีการลดหย่อนรายได้หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่อาจช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องเสียลงด้วย

  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

สำหรับธุรกิจการขนส่ง ภาษีหัก ณ ที่จ่ายอาจเกี่ยวข้องกับการจ่ายให้กับบุคคลหรือบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น การจ้างบริการโรงแรมสำหรับคนขับรถหรือการจ่ายค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการขนส่ง เมื่อธุรกิจการขนส่งจ่ายเงินให้กับบุคคลหรือบริษัทดังกล่าว บางส่วนของเงินจ่ายนี้อาจถูกหักเป็นภาษีหัก ณ ที่จ่าย และส่งให้กับหน่วยงานภาษีหรือรัฐบาลตามกฎหมายภาษีที่ใช้ในประเทศนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม การเสียภาษีในธุรกิจการขนส่ง สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือปฏิบัติตามกฎหมายภาษีและและเสียภาษีอย่างถูกต้อง การปรึกษาทนายความหรือที่ปรึกษาด้านภาษี ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่น เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนส่งของเรา รวมถึงประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องครบถ้วน

เปิดโอกาสทางธุรกิจในยุคดิจิทัล แค่ใช้โปรแกรมบัญชี ERP กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์

ปัจจุบัน ธุรกิจการขายของออนไลน์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพราะคนยุคใหม่เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตมาซื้อของออนไลน์มากขึ้น และมีแนวโน้มการซื้อหน้าร้านน้อยลง เจ้าของธุรกิจจึงต้องเปลี่ยนแนวทางการขายจากหน้าร้านค้าเพียงอย่างเดียว มาขายของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ซื้อ ซึ่งมักนิยมซื้อ-ขายของผ่าน Lazada และ Shopee เป็นหลัก และยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่เริ่มได้รับความสนใจอย่าง Tiktok และ Line My shop ด้วย

การที่ธุรกิจต้องปรับตัวมาขายออนไลน์ย่อมส่งผลต่อการบริหารจัดการร้านค้าไม่น้อย เพราะมีความซับซ้อนในการจัดการ เช่น การลงสินค้า อัพเดตราคา การดูแลสต็อก และรับออเดอร์ซื้อขาย รวมถึงการจัดส่ง วิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยจัดการความยุ่งยากเหล่านี้ก็คือการเลือกใช้โปรแกรมบัญชี ERP ของ AccCloud ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มร้านค้าได้ง่ายๆ ในไม่กี่ขั้นตอบ

โปรแกรมบัญชี ERP กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์

การเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชี ERP กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์มีประโยชน์มากมาย เหมาะกับผู้ประกอบกิจการขายของออนไลน์ทุกคน ไม่ว่าจะมีสินค้ามากหรือน้อยก็ไม่ต้องกังวลกับจัดการคลังสินค้า เพราะตัวระบบเชื่อมโยงกับร้านค้าได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก เรามาดูกันว่า โปรแกรมบัญชี ERP ของ AccCloud สามารถช่วยเหลือในการบริการจัดการร้านค้าได้ยังไงกันบ้าง

  • ตรวจสอบสต็อกสินค้าง่ายดาย

การเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชี ERP ของ AccCloud กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์จะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบสต็อกสินค้าได้ตลอด ช่วยให้จัดการปรับจำนวนสต็อกง่าย เช็คสินค้าที่ใกล้จะหมดหรือหมดแล้วได้ทุกเวลา หากร้านค้ามีสินค้าตัวไหนหมดก็จะรู้ได้ทันที

  • ช่วยคำนวณบัญชีจากการขายสินค้า

โปรแกรมบัญชี AccCloud เพิ่มประสิทธิภาพในขายสินค้าด้วยการจัดการบัญชี ช่วยคำนวณรายรับและรายจ่ายจากการขายสินค้าได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการธุรกิจ

  • ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ซื้อ

ข้อดีที่มากกว่าการทำบัญชีของโปรแกรมบัญชี AccCloud คือ ช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าได้อย่างง่ายดาย เช่น ประวัติการสั่งซื้อ แนวโน้มในการซื้อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

  • เพิ่มความถูกต้องทางการทำบัญชี

ช่วยลดความผิดพลาดทางบัญชี เนื่องจากข้อมูลการขายและการเงินถูกบันทึกอัตโนมัติ แตกต่างจากการทำข้อมูลตัวเลขด้วยตัวเอง ระบบ ERP จะทำให้สามารถรายงานผลการเงินได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่าตัวเลขบัญชีจะไม่ตรงกัน

  • วิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การขายง่ายขึ้น

การเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชี ERP จะช่วยให้สามารถปรับตัวตามความต้องการของตลาดได้รวดเร็ว ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและเพิ่มยอดขายอย่างครบถ้วน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี

หากใครต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการขายสินค้าออนไลน์ผ่าน Shopee, Lazada, Tiktok  หรือ Line การเชื่อมต่อระบบบัญชี ERP กับแพลตฟอร์มขายออนไลน์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตในยุคดิจิทัลนี้มาก เพราะจะช่วยให้สามารถบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย เปิดโอกาสในการเพิ่มยอดขายและความสำเร็จในด้านการตลาดออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและอนาคต

ซอฟต์แวร์ erp ตัวช่วยจัดการธุรกิจเชื่อมต่อบน “แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์”

การทำธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์มีการการเติบโตและพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยให้สามารถซื้อขายสินค้าต่างๆ ได้ตลอดเวลาแบบ 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะกลุ่มร้านค้าที่ได้มีการขายบนแพลตฟอร์มใหญ่ๆ เช่น Shopee Lazada และ Tiktok ที่จะมีลูกค้าสั่งของตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการจัดการข้อมูลที่เป็นระบบชัดเจน ป้องกันความคลาดเคลื่อนหรือความผิดพลาดไม่ให้เกิดขึ้น แต่บางทีเราก็อาจจะตกหล่นไปบ้าง ทำให้เกิดผลตอบรับในแง่ลบจากผู้ซื้อได้ จะดีกว่าไหมถ้าเราหันมาใช้ตัวช่วยจัดการธุรกิจที่จะทำให้การจัดการธุรกิจของคุณง่ายกว่าที่เคยด้วย “ระบบซอฟต์แวร์ erp ”

ระบบซอฟต์แวร์ ERP คืออะไร 

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning ซึ่งหมายถึง ซอฟต์แวร์ระบบการเงินที่จะช่วยจัดการวางแผนของการจัดการรูปแบบธุรกิจของคุณ เช่น การผลิต การขาย การสั่งซื้อ การบริการ การเงิน ฯลฯ รวมไปจนถึงกระบวนการต่างๆ ภายในองค์กรธุรกิจ โดยจะมีการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ภายใน Database หลัก และฝ่ายอื่นๆ ภายในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ทำให้วางแผนการทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์จากการใช้งานระบบซอฟต์แวร์ ERP

การเลือกใช้ระบบ ERP ภายในองค์กรนั้นมีข้อดีมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบของธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • การเก็บข้อมูลการทำงานทั้งหมดจากแต่ละฝ่ายภายในองค์กรไว้ในระบบเดียวกัน (Database)
  • การแชร์ทรัพยากรภายใน Database ให้แต่ละฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลและทำงานร่วมกันได้
  • ป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน จากแต่ละหน่วยงาน ด้วยระบบอัพเดตข้อมูลแบบ Real-Time
  • ลดต้นทุนการใช้เครื่องมือช่วยเหลือที่มากเกินความจำเป็น
  • ช่วยให้มองเห็นถึงภาพรวมขององค์กรทั้งหมด ทำให้จัดการวางแผนได้ง่ายขึ้น

การเชื่อมต่อระบบซอฟต์แวร์ ERP กับร้านค้าออนไลน์

อย่างที่เรารู้ๆ กันว่าการทำร้านค้าออนไลน์ E-commerce ต้องมีการเก็บข้อมูลที่เยอะมากๆ และมีกระบวนการทำงานที่เรียกว่าซับซ้อนเลยก็ว่าได้ ทั้งข้อมูลสินค้า ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการสั่งของจาก Partner ข้อมูลคำสั่งซื้อ และอีกเยอะแยะมากมาย ทำให้ปัจจุบันมีการหันมาใช้ระบบ ERP ร่วมกับแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์มากขึ้น ช่วยรองรับการทำงานแบบรอบด้านได้ดี เช่น เก็บข้อมูลสินค้า คำสั่งซื้อ และข้อมูลของลูกค้า ทำให้รูปแบบการทำงานโอกาสเกิดข้อมผิดพลาดน้อยลง และจัดการดูแลข้อมูลได้ง่าย เมื่อเทียบกับการทำแบบแยกแพลตฟอร์มที่อาจเกิดการพิมพ์คำสั่งซื้อซ้ำหรือข้อมูลคำสั่งซื้อตกหล่นได้ ทำให้เกิดผลลัพธ์เชิงลบตามมา

การเตรียมความพร้อมก่อนใช้ระบบซอฟต์แวร์ ERP

ก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบ ERP กับแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ ควรเริ่มศึกษาข้อมูลก่อนว่าธุรกิจจะเข้ากับการทำงานของระบบ ERP ได้ไหม และถ้ามั่นใจแล้วว่าจะทำการใช้ระบบ ERP ก็ต้องมีการเริ่มเตรียมความพร้อมก่อนเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ ดังนี้

  1. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Database 
  2. จัดการวางแผนขั้นตอนการทำงาน
  3. ตรวจสอบปัญหาที่พบในขั้นตอนการทำงาน (ก่อนใช้ระบบ ERP)
  4. เลือกใช้ระบบ ERP ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ที่สุด

เลือกใช้โปรแกรม Acccloud ERP เป็นตัวช่วยจัดการธุรกิจของคุณ

โปรแกรมบัญชี Acccloud ERP เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ธุรกิจขสามารถจัดระเบียบการทำบัญชีได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ และมีคุณภาพเทียบเท่าโปรแกรม ERP ในเกรดราคาประหยัด เข้าถึงได้ง่าย แต่คุณภาพดีเยี่ยม พร้อมเชื่อมต่อระบบช่องทางการขายออนไลน์

โปรแกรมบัญชี Acccloud ERP เชื่อมต่อแพลตฟอร์มอะไรได้บ้าง

การเชื่อมต่อระบบ ERP กับแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ทำได้หลายช่องทาง และช่วยให้รูปแบบการทำงานสะดวก ง่ายขึ้น ไม่ยุ่งยาก แล้วมีแพลตฟอร์มไหนบ้างที่โปรแกรมบัญชี Acccloud ERP เชื่อมต่อได้บ้าง มาดูกัน

แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์

ดึงข้อมูลยอดขายจาก ร้านค้าออนไลน์ และเชื่อมโยงอัตโนมัติ มายังโปรแกรมบัญชี AccCloud ERP ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูสถานะของคำสั่งซื้อบนแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ ได้ตลอดเวลาที่จะมีการเชื่อมโยงระบบ และสามารถ Update ข้อมูล Stock สินค้าย้อนกลับไปยังคลังได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องไปบันทึกข้อมูลซ้ำอีกรอบนึง ได้แก่

  • Lazada
  • Shopee 
  • Tiktok 
  • LINE MyShop

แพลตฟอร์มบริการขนส่งสินค้า

ระบบสามารถทำการเรียกรถขนส่ง โดยทางเราไปเชื่อม API กับ shippop.com ซึ่งสามารถเรียกรถขนส่งสินค้าจากระบบ AccCloud ได้ เช่น ไปรษณีย์ไทย, Flash, Kerry, DHL และ Lalamove 

ซอฟต์แวร์ ERP เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กรให้ดีขึ้นได้ องค์กรใดที่กำลังมองหาแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงาน ควรพิจารณาการนำซอฟต์แวร์ ERP เข้ามาช่วยงาน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โปรแกรมบัญชี Acccloud ERP เพิ่มเติมได้ที่ https://acccloud.tech/ และสำหรับใครที่สนใจสามารถ ทดลองใช้โปรแกรม Acccloud ERP ได้ฟรี!! ก่อนตัดสินใจซื้อ >> คลิก

Freelance มืออาชีพ ต้องรู้! ความสำคัญของเอกสารทางธุรกิจที่ต้องออกเอง มีอะไรบ้าง?

อาชีพการทำงานมีหลากหลายงานและหลายรูปแบบการทำงาน บางทีก็ทำเป็นบริษัท บางที่ก็ทำเป็นหน่วยงานเล็กๆ แต่ที่มาแรงที่สุดทุกวันนี้คือการทำงาน Freelance ที่ให้อิสระที่ยืดหยุ่นได้มากกว่า การทำงานภายใต้บริษัทหรือองค์กร เพราะประสานงานกับลูกค้าได้โดยตรง ทำงานทีไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้อง WFH ไหม หรือทำงานวันหยุด เพราะ Freelance เป็นนายตัวเอง อยากทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ หรืออยากหยุดวันไหนก็ได้ แต่เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือการทำเอกสาร เพราะ Freelance ต้องออกเอกสารเอง ทำบัญชีเอง และอื่นๆ ตามที่ขั้นตอนของการทำงานทั่วไปทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วเอกสารอะไรบ้างที่ Freelance มืออาชีพ ควรรู้ไว้ เรามีคำตอบ

เอกสารเรื่องธุรกิจที่  Freelance มืออาชีพต้องรู้ไว้

เอกสารธุรกิจเป็นเอกสารที่มีความสำคัญในการทำงานมาก เพราะมีความเกี่ยวข้องด้านการเงินด้วย และอีกทั้งยังทำให้การทำงาน Freelance ของเราเนี่ย ดูเป็นมืออาชีพมากๆ น่าเชื่อถือ และจัดระเบียบงานได้เป็นอย่างดี เพราะการทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ ควรทำงานให้เป็นทางการ และเอกสารธุรกิจเหล่านี้ยังช่วยชี้แจ้งให้ได้รับข้อมมูลที่ชัดเจนกันทั้ง 2 ฝ่ายด้วย ทำให้ “เอกสารธุรกิจ” เป็นเรื่องที่ชาว Freelance ควรรู้เพราะมีผลอย่างมากในการรับงานจากบริษัทหรือองค์กรต่างๆ

มีเอกสารอะไรบ้างที่ Freelance มืออาชีพต้องออกด้วยตัวเอง

ว่าด้วยเรื่องความสำคัญของเอกสารธุรกิจไปแล้ว มีเอกสารธุรกิจอะไรบ้างที่ Freelance ต้องออกด้วยตนเองเพื่อส่งให้กับลูกค้า องค์กร หรือบริษัท ที่เราได้รับงานมาบ้าง มาดูกัน

1. ใบเสนอราคา

อันดับแรก ใบเสนอราคาหรือ Quotation เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับชี้แจงแผนการทำงานและราคา (Cost) ที่ลูกค้าต้องจ่าย เอกสารใบนี้จะหลังจากได้ผ่านการคุยงานกับลูกค้า สอบถามถึงความต้องการและขอบเขตงานต่างๆ เมื่อบรีฟข้อมูลงานกันเรียบร้อยแล้วก็จะมีการทำเอกสารตัวนี้ออกมาเพื่อส่งให้กับลูกค้าต่อไป

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบเสนอราคา

  • รายละเอียดของงาน ตามความต้องการของลูกค้า
  • ราคาการทำงาน ที่กำหนด
  • เงื่อนไขการทำงาน เช่น แก้ไขข้อมูลได้กี่ครั้ง
  • การคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากบริการ (ถ้ามี) 
  • ช่องทางการติดต่อ
  • เลขประจำตัวประชาชน

2. ใบแจ้งหนี้

ใบแจ้งหนี้หรือ Invoice เป็นเอกสารสำคัญเพราะใช้ในการเรียกเก็บเงินกับลูกค้าหลังจากเราได้ทำข้อตกลงการทำงาน อาจจะเป็นการเก็บเงินบางส่วนก่อนการเริ่มงาน การเรียกเก็บแบบแบ่งงวด หรือหลังการทำงานเสร็จสิ้นลงแล้ว

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบแจ้งหนี้

  • รายละเอียดของงานจากใบเสนอราคา
  • ยอดที่ต้องลูกค้าาต้องจ่าย
  • ระยะเวลาในการชำระยอด
  • การคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากบริการ (ถ้ามี) 
  • ช่องทางการติดต่อ
  • เลขที่บัญชีสำหรับการชำระเงิน

3. ใบเสร็จรับเงิน

แล้วตัวเอกสารของใบเสร็จรับเงินหรือ Receipt เนี่ย Freelance ต้องออกเองด้วยไหม หลายคนคงสงสัย และคำตอบก็คือ”ทำครับ” เอกสารใบเสร็จรับเงินจะใช้ออกหลังจากได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้กับลูกค้า และได้รับยอดการชำระเงินจากลูกค้าแล้ว เพื่อใช้ยืนยันว่าได้รับยอดการชำระเงินจากลูกค้าแล้ว แต่สำหรับ Freelance นั้นไม่จำเป็นต้องมีใบกำกับภาษี ซึ่งจะต่างจากบริษัทหรือองค์กรที่ต้องมี

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบเสร็จรับเงิน

  • รายละเอียดของงานจากใบเสนอราคา
  • จำนวนเงินที่ได้รับยอดการชำระเงิน
  • วันที่การรับเงิน
  • ช่องทางการรับชำระเงิน
  • ช่องทางการติดต่อ

เอกสารสำคัญที่ Freelance มืออาชีพต้องเก็บไว้ ห้ามลืมเด็ดขาด

การทำ Freelance ไม่เพียงแค่ต้องออกเอกสารเองเท่านั้น ยังต้องมีการเก็บเอกสารไว้อีกด้วย เอกสารที่เหล่า Freelance ต้องเก็บไว้นั้นก็คือ  “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” หรือเรียกอีกชื่อว่า “ใบทวิ 50” เป็นเอกสารที่ Freelance จะได้รับจากบริษัทหรือองค์กรที่ได้ร่วมงานกัน  เพราะต้องใช้ในการยื่นภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาในแต่ละปี และถ้าได้รับไม่ถึงเกณฑ์ก็สามารถติดต่อขอคืนได้เช่นกัน

เปลี่ยนการทำเอกสารให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud 

สำหรับ Freelance หลายๆ คนอาจจะไม่ได้มีความรู้ด้านการทำเอกสารมากนัก หรือบางคนก็อาจจะไม่เคยทำเลย การหันมาใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud การทำเอกสารจะง่ายขึ้นเพราะมีฟังค์ชั่นให้เลือกใช้หลากหลายและปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณได้

  • ปรับแบบฟอร์มเอกสารได้ตามความต้องการ
  • รองรับการออกเอกสารในนามบุคคล
  • รองรับพร้อมกับรูปแบบเอกสารสำหรับคนทำงาน Freelance เช่น
    •  ใบเสนอราคา
    •  ใบแจ้งหนี้
    •  ใบเสร็จรับเงิน
  • ระบบการแจ้งเตือนข้อมูล
  • รองรับการเก็บข้อมูลบนระบบ Cloud ป้องกันข้อมูลศูนย์หาย
  • รองรับการ Export ไฟล์เป็น .pdf และส่งผ่าน E-mail

ถ้าคุณรู้สึกสนใจโปรแกรมบัญชี Accloud ยังสามารถ ทดลองเข้าใช้งานโปรแกรม ก่อนได้ เพื่อดูว่าระบบการทำงานแบบไหน แบบฟอร์มเป็นยังไง ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ และสำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถเข้าดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ acccloud.tech หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ติดต่อเรา

Education Template

Scroll to Top