Acccloud โปรแกรมบัญชี

การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการธุรกิจด้วยระบบ ERP

ระบบ ERP เป็นระบบหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมากสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) หรือ ระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร ถือเป็นเครื่องมือที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้ธุรกิจมีการจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มความสอดคล้องกับทิศทางที่เป็นไปได้ของธุรกิจในอนาคต

บทความนี้เราจะบอกถึงข้อดีของระบบ ERP ที่ช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ระบบ ERP ช่วยจัดการข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

ระบบ ERP ช่วยให้ธุรกิจสามารถรวบรวมข้อมูลของทรัพยากรทั้งหมดในองค์กร เช่น การเงิน การผลิต การคลังสินค้า การขาย และการบริหารจัดการได้ในระบบเดียว เพื่อให้สามารถดำเนินการและติดตามข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

2. การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ

ความสามารถของระบบ ERP นั้นจะช่วยให้เราจัดการข้อมูลทรัพยากรองค์กรได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น สามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูล วิเคราะห์ และตั้งค่าการทำงานแบบอัตโนมัติได้ ช่วยลดความผิดพลาดในการบริหารจัดการและการตัดสินใจ

3. ช่วยปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้ทันสมัยอยู่เสมอ

ระบบ ERP ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลในเวลาจริง ทำให้สามารถปรับแผน และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ทันทุกสถานการณ์ ช่วยให้ธุรกิจทันต่อความเปลี่ยนแปลงของกลไกตลาดในปัจจุบัน และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับการเติบโตในอนาคต การสร้างความร่วมมือในองค์กร

4. เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูล

เมื่อธุรกิจของเรามีการจัดการข้อมูลด้วยระบบ ERP เราจะสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในองค์กรได้อย่างเป็นระบบ และสามารถตั้งค่าการจัดการเฉพาะส่วนได้ง่าย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของเราได้มากขึ้น ป้องกันการเข้าถึงจากบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต และยังช่วยให้จัดการข้อมูลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด

5. สร้างการวัดและประเมินประสิทธิภาพ

การติดตามและวัดผลประสิทธิภาพของระบบ ERP จะช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงและปรับตัวให้สอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจได้อยู่เสมอ สามารถเห็นผลลัพธ์การทำงานได้อย่างง่ายได้ ไม่ว่าจะจากการซื้อ การขาย การทำบัญชี การจัดการคลังสินค้า ทุกระบบจะได้รับการติดตามข้อมูล วัดผล และประเมินประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ

6. ปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ทันต่อเทคโนโลยียุคใหม่

โลกของเรามีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคใหม่ เปิดรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก ระบบ ERP นั้นจะช่วยให้เราก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของเรามีการพัฒนาไปอย่างมั่นคง เพิ่มโอกาสเติบโตทางธุรกิจให้มีโอกาสก้าวหน้าได้เป็นอย่างดี

ระบบ ERP ที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและมีความก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ระบบ ERP ที่เหมาะกับความต้องการและการปรับปรุงตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตและประสบความสำเร็จได้ดี ช่วยให้ธุรกิจก้าวหน้ายิ่งกว่าธุรกิจคู่แข่งและเหนือชั้นยิ่งกว่าใครๆ ได้ในอนาคต

ไขข้อสงสัย SAP ERP และ Local ERP ระบบไหนคุ้มกว่ากัน

SAP ERP และ Local ERP เป็นระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning) ทั้งสองระบบมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การเลือกระบบ ERP ที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดองค์กร งบประมาณ เป็นต้น

SAP ERP 

เป็นระบบ ERP ระดับโลกที่พัฒนาโดยบริษัท SAP จากประเทศเยอรมนี มีฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิต การเงิน ทรัพยากรบุคคล การขายและการตลาด เป็นต้น SAP ERP ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำทั่วโลกว่าเป็นระบบ ERP ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า

ข้อดีของ SAP ERP

  • ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ
  • มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย
  • ได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก

ข้อเสียของ SAP ERP

  • ราคาแพง
  • ใช้เวลาในการติดตั้งและปรับใช้นาน
  • ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งและใช้งาน

Local ERP 

เป็นระบบ ERP ที่พัฒนาโดยบริษัทในประเทศ มีฟังก์ชันการทำงานที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจไทยโดยเฉพาะ Local ERP มีข้อดีคือ ราคาไม่แพงและใช้งานง่ายกว่า SAP ERP แต่อาจไม่ครอบคลุมทุกฟังก์ชันการทำงานเหมือนกับ SAP ERP

ข้อดีของ Local ERP

  • ราคาไม่แพง
  • ใช้งานง่าย
  • ตรงกับความต้องการของธุรกิจไทยโดยเฉพาะ

ข้อเสียของ Local ERP

  • ครอบคลุมฟังก์ชันการทำงานน้อยกว่า SAP ERP
  • อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่า SAP ERP

SAP ERP และ Local ERP ระบบไหนคุ้มกว่ากัน ?

ระบบ ERP ไหนคุ้มกว่ากันนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดองค์กร งบประมาณ เป็นต้น 

หากองค์กรมีขนาดใหญ่ มีความต้องการใช้ฟังก์ชันการทำงานที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจ และมีเงินทุนเพียงพอ SAP ERP อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า Local ERP 

แต่หากองค์กรมีขนาดเล็ก มีความต้องการใช้ฟังก์ชันการทำงานที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจไทยโดยเฉพาะ และงบประมาณจำกัด Local ERP อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า ที่สำคัญ แนะนำว่าให้ลองศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบระบบ ERP จากหลายบริษัท เพื่อประกอบการตัดสินใจ

5 เหตุผลสำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรใช้ระบบ ERP

ในยุคดิจิทัล การแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรงมากขึ้น ธุรกิจทุกขนาดจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรพิจารณาคือ ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)

ระบบ ERP เป็นระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กรที่รวมเอาข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

รวม 5 เหตุผลสำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรใช้ระบบ ERP

ระบบ ERP เป็นระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กรที่รวมเอาข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

1. ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

ระบบ ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน และลดความผิดพลาดในการทำงาน  สามารถเข้าถึงข้อมูลการขายและการตลาดได้อย่างง่ายดาย ทำให้สามารถวางแผนการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือระบบ ERP สามารถช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน การบันทึกข้อมูลลูกค้าและคำสั่งซื้อ ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล

ระบบ ERP ช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้องและครบถ้วนมากขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลการเงินอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ช่วยติดตามข้อมูลการผลิตและสินค้าคงคลัง ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการผลิตและควบคุมสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลดต้นทุนการดำเนินงาน

ระบบ ERP ช่วยลดความซ้ำซ้อนของงาน ทำให้สามารถลดจำนวนพนักงานลงได้ ช่วยลดต้นทุนในการจ้างงานและฝึกอบรมพนักงาน ช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน เช่น การบันทึกข้อมูลลูกค้าและคำสั่งซื้อ ทำให้สามารถลดจำนวนพนักงานที่ทำงานในส่วนนี้ลงได้ ช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถลดเวลาในการค้นหาข้อมูลลงได้

4. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ระบบ ERP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความผิดพลาด ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกับธุรกิจอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจ

ระบบ ERP ช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจให้เทียบเท่าธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามากขึ้น  สามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ธุรกิจมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ติดตามกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจ ทำให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานได้ง่าย 

สรุปแล้ว ระบบ ERP เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับธุรกิจ SMEs ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจ SMEs ควรลงทุนติดตั้งระบบ ERP เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น 

เตรียมความพร้อมก่อนการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล

ทุกธุรกิจย่อมมีจุดเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่น การเปิดกิจการด้วยตัวคนเดียว เป็นบุคคลธรรมดา แต่เมื่อกิจการเริ่มมีการเติบโต ขยับขยายมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนจาก บุคคลธรรมดามาเป็นนิติบุคคล อาทิเช่น ห้างหุ่นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจัดจ้าง ที่มีสเกลกว้างและใหญ่ขึ้น แต่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้การดำเนินการนั้นง่ายขึ้นและไม่ติดปัญหาใดๆ

การเตรียมพร้อมการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล

1. การเปิดบัญชีธนาคารในนามของบริษัท

ขั้นตอนสำคัญอยากแรกในการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลคือการเปิดบัญชีธนาคารธุรกิจในชื่อนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ บัญชีนี้จำเป็นสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินในนามของบริษัท การรับการชำระเงิน และการจัดการค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการนี้ 

เบื้องต้นคุณจะต้องจดทะเบียนบริษัท เพื่อรับหมายเลขทะเบียนธุรกิจอย่างเป็นทางการ และเตรียมเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นสำหรับธนาคารเพื่อใช้เปิดบัญชี

2. การทำภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นส่วนสำคัญในด้านการเงินของนิติบุคคล กรณี ที่บริษัทมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี ต้องจัดการทำภาษีมูลค่าเพิ่ม อ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามระเบียบของกฏหมายได้กำหนดให้นิติบุคคล เมื่อมีการใช้จ่ายเงิน อาทิเช่น ค่าบริการ ค่าเช่า ดอกเบี้ย เงินปันผล จำเป็นที่ต้องมีการทำภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตราที่ กรมสรรพากรได้กำหนด และดำเนินการส่งให้สรรพากร ทุกวันที่ 7 ถัดจากเดือนที่ได้มีการใช้จ่าย

3. เก็บเอกสาร ใบเสร็จซื้อ – ขาย

สำหรับการเป็นนิติบุคคลต้องเก็บข้อมูลเอกสารที่สำคัญ เพื่อใช้ในการลงรายการบัญชี เมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่มีการออกส่วนของใบเสร็จการรับเงิน และรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการธุรกิจของเรา จำเป็นต้องมีบิลหรือใบเสร็จที่มีรายละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้

4. การจัดทำบัญชี 

เอกสารทั้งหมดที่ได้รวบรวมไว้ ไม่ว่าจะเป็นบิลใบเสร็จหรือ ใบกำกับภาษีซื้อและขาย เอกสารหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในกิจการธุรกิจของเรา มาจัดการทำบัญชี หรือรวบรวมเอกสารทั้งหมดส่งให้กับ “ผู้ทำบัญชี” เพื่อส่งให้ทำการลงบัญชี ปิดบัญชี เพื่อจัดทำงบการเงินตามรอบที่กำหนด

* ผู้ทำบัญชี * : จะต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามกฏหมาย ซึ่งอาจจะเป็นพนักงานภายในบริษัท หรือองค์กรภายนอก เช่น สำนักงานบัญชี เป็นต้น

5. การหาผู้สอบบัญชี

ข้อสุดท้าย ส่วนของผู้สอบบัญชี นิติบุคคลจะต้องมีการจัดให้มีผู้สอบบัญชี มาตรวจสอบและประเมินงบประจำปีของบริษัท ก่อนที่จะนำส่งข้อมูลกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

* ผู้สอบบัญชี * : บุคคลภายนอกบริษัท ที่มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีงบด้านการเงินของกิจการว่ามีความถูกต้องหรือไม่

การเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลต้องเริ่ม ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจไปจนถึงการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย การรวบรวมเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็น การเก็บรักษาบันทึกการขายและการซื้ออย่างละเอียด และการขอรับบริการจากผู้ตรวจสอบบัญชี จะทำให้รากฐานทางกฎหมายและการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าถึงการเป็นนิติบุคคลแบบเต็มรูปแบบ

อยากยื่นขอใบแทนใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำยังไง ?

เอกสารใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ก.พ.20 ผู้ประกอบกิจการจะได้รับเอกสารใบนี้เมื่อ ธุรกิจได้รับรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยวิธีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ก.พ.20 เป็นเอกสารขนาด A4 ผู้ประกอบการมักเก็บไว้ในกรอบหรืออุปกรณ์ที่สามารถป้องกันไม่ให้เอกสารเสียหายได้ ซึ่งในเอกสารก็จะมีข้อมูลของ จุดสถานที่ตั้งของสถานประกอบการ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันทีให้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและข้อมูลสำคัญอื่นๆ  แต่ถ้าเอกสารได้รับความเสียหานจะทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้มีการใช้งานเอกสารทดแทนที่เรียกว่า “ใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” และมีวิธีการขอเอกสารอย่างไร 

ใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ

เอกสารที่ใช้ทดแทน “ใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ที่ชำรุดหรือเสียหายได้

วิธีการยื่นขอใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

กรณีที่ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียน ยื่นคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่กรณี หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร https://www.rd.go.th 

หมายเหตุ : ต้องยื่นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบถึงการชำรุด สูญหาย หรือถูกทำลาย

เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นขอใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • แบบคำขอรับใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.04) จำนวน 3 ฉบับ
  • ใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) ที่ชำรุด
  • ใบแจ้งความกรณีสูญหาย
  • หนังสือมอบอำนาจ กรณีให้ผู้อื่นทำการแทนปิดอากรแสตมป์ 10 บาท
  • บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว

เอกสารใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ทางที่ดีควรดูและเอกสารใบจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มฉบับจริงให้ดี จะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง หรือความยุ่งยากในการไปขอเอกสารใบแทนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม 

ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ง่าย ๆ

หลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจในปัจจุบัน สำหรับเหล่าผู้ประกอบการที่ได้รับรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เราจะมาแนะนำขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบง่ายๆ ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง และต้องเริ่มทำอย่างไร

สามารถยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่ไหน

วิธีการยื่นเอกสารขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีหลักๆ อยู่ 2 วิธี คือ

1. การยื่นจดทะเบียน VAT แบบยื่นเอกสาร

การยื่นเอกสารคำขอจดทะเบียนจะแบ่งตามกรณีของบริษัทแต่ละบริษัท 3 กรณี ดังนี้

1. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่

2. กรณีสถานประกอบการตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ และกรณีสถานประกอบการตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอหรือกิ่งอำเภอที่กรมสรรพากรมิได้จัดอัตรากำลังไว้ ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาเดิมที่เคยควบคุมพื้นที่นั้น กรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนได้ที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ในท้องที่ที่สถานประกอบการอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว

3. กรณีสถานประกอบการที่อยู่ในความดูแลของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ให้ยื่น ณ สำนักงานบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือจะยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ก็ได้ 

2. การยื่นจดทะเบียน VAT แบบออนไลน์

สำหรับวิธีการแบบออนไลน์ ให้ยื่นแบบคำขอผ่านทางเว็บไซต์ www.rd.go.th 

เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

เอกสารทื่ผู้ประกอบการต้องใช้ยื่นกับกรมสรรพากร ประกอบด้วย

เมื่อไหร่ที่เราจะต้องเริ่มยื่นขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ที่เราจะต้องเริ่มยื่น มีระยะเวลาอย่างไร

  • หลังจากวันที่มีมูลค่ารายรับมากกว่า 1.8 ล้านบาท ภายใน 30 วัน
  • วันที่เริ่มการประกอบกิจการไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือการให้บริการ รวมไปถึงกรณีระหว่างการเตรียมที่จะประกอบกิจการ มีการซื้อสินค้าหรือการเข้ารับตัวบริการ ที่เข้าเงื่อนไขการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายใน 6 เดือน ก่อนวันเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ

และนี่ก็เป็นวิธีการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ง่าย ๆ จาก Acccloud ERP โดยวิธีแต่ละแบบก็สามารถเลือกได้ตามความสะดวกของผู้ประกอบการแต่ละท่าน ให้ประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ผู้ประกอบกิจการที่มีรายรับได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปีก็สามารถยื่นได้ เช่นกัน

ภาษีย้อนหลัง คืออะไร ? ตรวจสอบยังไงได้บ้าง ?

การเสียภาษี เป็นกระบวนการทางการเงินที่สำคัญที่ประชาชนและธุรกิจทุกอย่างต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่ตนอยู่ การเสียภาษีเป็นวิธีที่รัฐบาลรวบรวมเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ ซึ่งเงินที่รัฐรวบรวมจากภาษีนี้จะถูกใช้ในการจ่ายค่าให้บริการสาธารณะ เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ การเคลื่อนที่ และโครงการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์สาธารณะ

ภาษีย้อนหลัง คือ

เป็นการชำระภาษีที่ไม่ครบตามกำหนด ซึ่งสรรพากรจะตรวจสอบว่าเข้าข่ายการเลี่ยงภาษีหรือไม่ โดยตรวจสอบจากย้อนชำระเก่า ๆ หากมียอดชำระที่แปลกไป สรรพากรจะตรวจสอบและติดต่อเราให้ชำระภาษีให้ครบตามที่กำหนดนั่นเอง

ค่าปรับภาษีย้อนหลัง

1. ยื่นเสียภาษีทันกำหนด แต่ไม่ครบ

  • เสียค่าปรับ 0.5 – 1 เท่าของภาษี

2. ยื่นเสียภาษีเกิดกำหนด

  • เสียค่าปรับ 1 -2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 2,000 บาท

3. ตั้งใจไม่ยื่นเสียภาษี

  • เสียค่าปรับ 2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 5,000 บาท จำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. เจตนาหนีภาษี

  • เสียค่าปรับ 2 เท่าของภาษี
  • มีโทษทางอาญาสูงสุด 200,000 บาท จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภาษีย้อนหลัง มีอายุความกี่ปี

  • ภาษีเงินได้

ภาษีเงินได้ทั้งแบบบุคคลธรรมดาและแบบนิติบุคคล มีอายุความ 2 ปี สามารถขอขยายอายุความได้สูงสุด 5 ปี รวมถึงสรรพากรมีสิทธิในการดูรายการเดินบัญชีได้ตลอดเวลา

  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ

เป็นภาษีทีมาจากการประกอบกิจการ มีอายุความมากถึง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มยื่นภาษี ตามมาตรา 193/31 

ทำยังไง หากไม่อยากโดนเรียกภาษีย้อนหลัง ?

  • ยื่นและชำระภาษีให้ครบตามกำหนดทุกปี
  • ทำบัญชีการยื่นภาษีแบบรายเดือน
  • ตรวจสอบเอกสารรายรับของธุรกิจ
  • ติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้งกับภาษี

ดังนั้น การปฏิบัติตามกฎหมายและชำระภาษีตามกำหนดอย่างถูกต้อง เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงในการโดนเรียกภาษีย้อนหลัง การปฏิบัติตามกฎหมายช่วยปกป้องความถูกต้องและลดความเสี่ยงในการเผชิญกับการโดนเรียกภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรได้นั่นเอง

ทริคการคำนวณภาษี สำหรับพนักงานเงินเดือน คำนวณยังไง เสียเท่าไหร่บ้าง ?

“ภาษี” คือเงินที่คนหรือธุรกิจต้องจ่ายให้รัฐหรือรัฐบาล เพื่อรองรับงบประมาณและการดำเนินกิจกรรมของรัฐ ภาษีมีบทบาทสำคัญในการเก็บเงินสำหรับรัฐเพื่อใช้ในการให้บริการสาธารณสุข การศึกษา การสร้างสถานที่สาธารณะ และอื่น ๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับประชาชน ซึ่งแต่ละประเภทของภาษีมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไป 

ฐานภาษี 

คือ ค่าหรือปริมาณที่ใช้เป็นพื้นฐานในการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายในภาษี ฐานภาษีสามารถเป็นรายได้ มูลค่า ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นวัตถุสภาพที่ใช้ในกระบวนการเก็บเงินภาษี โดยทั่วไปแล้ว ภาษีจะเริ่มต้นที่กลุ่มเงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี สูงสุดมากกว่า 5 ล้านบาทต่อปี มีวิธีคำนวณสูตรง่าย ๆ คือ

เงินได้สุทธิ = เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี

ภาษีมีอะไรบ้าง 

  • ภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา และ แบบนิติบุคคล
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ
  • ภาษีอากรแสตมป์
  • ภาษีสรรพสามิต

วิธีการคำนวณภาษี สำหรับพนักงานเงินเดือน

  • เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท : ได้รับยกเว้น
  • เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท : อัตราภาษี 5%
  • เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท : อัตราภาษี 10%
  • เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท : อัตราภาษี 15%
  • เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท : อัตราภาษี 20%
  • เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท : อัตราภาษี 25%
  • เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท : อัตราภาษี 30%
  • เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาท : อัตราภาษี 35%

ค่าลดหน่อยภาษี 

คือ รูปแบบหนึ่งของการลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในภาษีโดยตรง นั่นคือ ค่าลดหน่วยภาษีจะลดจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายในภาษีตรง ๆ นั่นเอง ไม่ใช่การลดรายได้ก่อนที่จะคำนวณภาษีแต่อย่างใด เช่น

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาทต่อคน (แรกเกิด – 20 ปี)
  • ค่าฝากครรภ์และตลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
  • ค่ากองทุนสำรองชีพ 15% ไม่เกิน 500,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนตามจริง ประกันชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท
  • อื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม การชำระภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด และชำระครบเป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าปรับที่เพิ่มขึ้น และช่วยให้รัฐนำภาษีไปใช้ในการพัฒนาส่วนกลาง รวมถึงบริการด้านสาธารณะต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินชีวิตได้ดีมากขึ้นนั่นเอง

ความสำคัญของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน !

พนักงานเงินเดือน (Salaried Employee) คือบุคคลที่ได้รับค่าจ้างในรูปแบบเงินเดือนที่มีค่าติดต่อกันในระยะเวลาที่กำหนดล่วงหน้า เป็นรายเดือน นอกจากนี้ พนักงานเงินเดือนยังมีสิทธิ์รับประโยชน์อื่น ๆ เช่น การลาพักร้อน การลาป่วย ประกันสุขภาพ และค่าตอบแทนอื่น ๆ ตามนโยบายของบริษัทด้วย

หนังสือรับรองเงินเดือน 

เป็นเอกสารที่ออกโดยนายจ้างหรือบริษัทที่จ้างงาน เพื่อยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงานเงินเดือน หนังสือรับรองเงินเดือนมักใช้ในหลายสถานการณ์ เช่น เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการสมัครสินเชื่อที่ธนาคาร หรือเพื่อการยื่นเรื่องการศึกษาต่อหรือสมัครงานในบริษัทใหม่ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงรายได้ที่พนักงานรับจากการทำงานในบริษัทนั้น ๆ

ประโยชน์ของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน

  • ช่วยยืนยันรายได้ของพนักงาน
  • ใช่ในการยื่นสมัครงานใหม่
  • ใช้ในการย้ายสถานที่ทำงานใหม่
  • ใช้ในการสมัครสินเชื่อหรือประกัน
  • ใช้ในการยื่นภาษี
  • ใช้ในการยื่นสิทธิประโยชน์
  • ง่ายต่อการเช็คข้อมูลของเงินเดือนที่ได้รับ

อายุการใช้งานของหนังสือรับรองเงินเดือน

  • สำหรับยื่นสมัครบัตรของธนาคาร หรือยื่นขอประกันและสินเชื่อ จะใช้งานได้ไม่เกิน 30 วัน
  • สำหรับหน่วยงานราชการ สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 90 วัน
  • สำหรับยื่อของวีซ่า ใช้ได้ไม่เกิน 30 วัน และต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด 

หนังสือรับรองเงินเดือน ใครควรออกให้ ?

พนักงานเงินเดือน ไม่สามารถออกหนังสือรับรองเงินเดือนเองได้ แต่ควรออกโดยนายจ้างหรือบริษัทที่จ้างงานพนักงาน นายจ้างหรือบริษัทมีหน้าที่ยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงาน ซึ่งหนังสือรับรองเงินเดือนมักต้องมีลายเซ็นหรือลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ของผู้มีอำนาจในบริษัทหรือองค์กรนั้น ๆ ให้กับพนักงานของตน

ข้อมูลในหนังสือรับรองเงินเดือน

  1. หัวข้อเอกสารคือ “หนังสือรับรองเงินเดือน”
  2. ชื่อและนามสกุล
  3. ชื่อและที่อยู่ของบริษัท
  4. ตำแหน่งงานที่ได้รับ
  5. เงินเดือนที่ได้รับ ไม่รวมโบนัสหรือสวัสดิการอื่น ๆ
  6. ระยะเวลาที่เริ่มทำงาน จนถึงวันที่ยื่นขอหนังสือรับรอง
  7. ใช้เพื่ออะไร เช่น ยื่นหน่วยงานราชการ ยื่นขอทำประกัน เป็นต้น
  8. วันที่ยื่นขอหนังสือรับรองเงินเดือน
  9. ลงชื่อผู้ขอหนังสือรับรองเงินเดือน
  10. ลงชื่อนายจ้างที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองเงินเดือน
  11. ต้องมีตราประทับของบริษัท 

ดังนั้น ความสำคัญของการมีหนังสือรับรองเงินเดือน คือ เอกสารสำคัญที่ใช้ในการยืนยันรายได้และสถานะงานของพนักงาน มีความสำคัญในกระบวนการสมัครงาน การขอสินเชื่อ การยื่นเรื่องประกันสังคม และสถานการณ์ทางการเงินและการทำงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายได้ของเราได้ดี

นักทำบัญชีฟรีแลนซ์ vs นักทำบัญชีในองค์กร ต่างกันอย่างไร

นักทำบัญชี คือบุคคลหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงินขององค์กรหรือบริษัท ซึ่งหน้าที่หลักของนักทำบัญชี คือ การบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนสำหรับการรายงานแก่ผู้บริหาร นักลงทุน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นักทำบัญชีฟรีแลนซ์ คือ

คือ บุคคลหรือนักวิชาชีพที่ทำงานเป็นอิสระ ให้บริการทางการบัญชีแก่ลูกค้าหรือองค์กรต่างๆ โดยไม่ต้องเป็นพนักงานประจำในองค์กรใด ๆ นักทำบัญชีฟรีแลนซ์มักมีความเชี่ยวชาญในการจัดทำบัญชีทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน การเตรียมเอกสารภาษี และงานที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงินในองค์กร

นักทำบัญชีในองค์กร คือ

นักทำบัญชีในองค์กร คือบุคคลที่ได้รับการจ้างเป็นพนักงานขององค์กรหรือบริษัท เพื่อดำเนินการทางด้านการบัญชีและการเงินขององค์กรนั้น ๆ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการจัดการและบันทึกข้อมูลทางการเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในองค์กร

อยากขึ้นทะเบียนนักทำบัญชี เตรียมตัวยังไง ?

การขึ้นทะเบียน สามารถทำได้ผ่านระบบเว็บไซต์ออนไลน์ได้ โดยจะทำผ่าน เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมนูผู้ทำบัญชี ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ เมื่อทำการลงทะเบียนและได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เราจะได้เลขประจำตัวมาเพื่อใช้แสดงความน่าเชื่อถือว่าเรานั่นเอง

เอกสารสำคัญที่ใช้ในการขึ้นทะเบียน

  1. สำเนาบัตรประชาชน
  2. สำเนาทะเบียนบ้าน
  3. สำเนาวุฒิการศึกษา
  4. รูปถ่ายครึ่งตัว หน้าชัดหลังตรง ไม่มีปิดบังใบหน้า สวมชุดสุภาพ พื้นหลังสีพื้น ไม่มีลวดลาย 
  5. ใบการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
  6. ใบเสร็จค่าสมาชิกสภาวิชาชีพที่ยังไม่หมดอายุ
  7. รายชื่อลูกค้าที่รับทำบัญชี
  8. หลักฐานการพัฒนาความรู้วิชาชีพ (CPD)

สรุปก็คือ นักทำบัญชีฟรีแลนซ์มีความอิสระในการทำงานและให้บริการแก่ลูกค้าจากหลากหลายธุรกิจต่าง ๆ ในขณะที่นักทำบัญชีในองค์กร มักมีบทบาทและความรับผิดชอบในการบัญชีและการเงินขององค์กรโดยเฉพาะ และจำต้องปฏิบัติตามกำหนดที่มีในสถานที่ทำงาน เพื่อให้สะดวกต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

Education Template

Scroll to Top