Acccloud โปรแกรมบัญชี

เทคนิคการวางแผนจัดการสินค้าคงคลัง

การวางแผนสินค้าเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อมิให้เกิดภาวะที่ผู้ค้าปลีกมีสินค้าคงคลังมากหรือน้อยเกินไป (มากไปต้นทุนก็จมอยู่ที่วัตถุดิบ และ ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บ น้อยไปก็เสี่ยงต่อสินค้าไม่พอผลิต) ดังนั้นหน้าที่ของฝ่ายคลังสินค้าคือ ต้องควบคุมปริมาณของสินค้าคงคลัง หรือ การบันทึกจำนวนหน่วยสินค้าที่อยู่ในมือ ที่สั่งซื้อ และขายในงวดหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งแสดงถึงระดับการยอมรับของลูกค้าต่อสินค้าแต่ละรายการ การควบคุมปริมาณจะเป็นการติดตามจำนวนรายการหรือชิ้นของสินค้า เพื่อช่วยผู้ซื้อในกรณีที่จะทราบว่าควรจะซื้อสินค้าจำนวนเท่าใด วิธีการง่ายๆ และไม่แพง ในการควบคุมปริมาณ เช่น การดูด้วยสายตา การนับสินค้าคงเหลือเฉพาะส่วนหนึ่งทุกวัน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ระบบการบันทึกในเอกสารเมื่อมีการขาย

 

การแก้ปัญหาเรื่องสินค้าที่สาเหตุ คือการใช้หลักการของ Logistic หรือ ห่วงโซ่อุปทาน เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ โดยมีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยระหว่าง Supplier ไปจนถึง กิจการ เช่น ระบบ Vender chain WareHouse Management หรือ ใช้ Electronic Data Interchange (EDI) เป็นต้น เพื่อให้เกิดการ Stock ให้น้อยที่สุด แค่พอเพียงต่อการใช้เท่านั้น

 
 
 
 

ลอจิสติกส์ หมายถึง กิจกรรมทุกอย่างที่ทำขึ้นเพื่อทำความแน่ใจว่าสินค้า และบริการจะเดินทางจากจุดกำเนิดไปยังลูกค้าขั้นสุดท้าย ส่วน การจัดการลอจิสติกส์ หมายถึง กระบวนการทั้งหมดในการจัดหาวัตถุดิบ การรับ การติดป้ายชื่อ และการเคลื่อนย้ายตัวสินค้า และบริการไปยังลูกค้า ในการทำลอจิสติกส์ของสินค้า และการจัดการประกอบด้วยมุมมองทุกด้านของระบบ ตั้งแต่การจัดการลอจิสติกส์ การเลือกวิธีการขนส่ง การตรวจสอบ การจัดเก็บสินค้า และการจัดการโซ่อุปทาน

 

ผู้ค้าปลีกยังมีภาระเพิ่มในการพัฒนาระบบรีเวอสลอจิสติกส์ (Reverse Logistics) หมายถึง การพัฒนานโยบาย และวิธีการสำหรับการคืนสินค้าที่ซื้อโดยลูกค้าไปยังร้านค้าหรือผู้ขายหรือผู้ผลิต

 

การจัดการ Logisitic ได้สำคัญอย่างแรกคือข้อมูลทางด้าน Stock ต้องดีในขั้นต้นแล้ว จึงสามารถขยับไปทำต่อได้ ดังนั้นหากธุรกิจคิดจะทำด้าน Logisitc เริ่มต้นคือ โปรแกรมบัญชี ต้องรองรับให้ได้ดีเสียก่อน จึงมีข้อมูลเพียงพอจะเดินหน้าต่อไปได้ โปรแกรมบัญชี AccCloud เหมาะสำหรับธุรกิจที่ในอนาคตจะใช้ระบบ Logistic ครบวงจร เนื่องจาก 1 ระบบโปรแกรมบัญชี AccCloud ERP นั้น Online และ มี Function ที่ซับซ้อนเพียงพอกับการรับส่งข้อมูลเชิงลึกระหว่างกัน 2 โปรแกรมบัญชี AccCloud มี API Webservice ที่รอบรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทุกชนิด

งบกระแสเงินสดนั้น สำคัญไฉน

งบกระแสเงินสด งบกระแสเงินสดคือ งบการเงินที่แสดงการเปลี่ยนแปลงเงินสดของกิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น รอบปีบัญชี โดยจะแสดงการได้มาและใช้ไปของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของ 3 กิจกรรมหลักคือ กิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และ กิจกรรมจัดหาเงิน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินสภาพคล่องของกิจการ โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้

 

 

 
 
 
 

ข้อมูลที่ปรากฏในงบกระแสเงินสด จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ใช้งบการเงินสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้

 

1. เพื่อให้ผู้บริหารงานสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเงินสด

2. บ่งบอกถึงสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ

3. เพื่อใช้ในการวางแผนการเงินในอนาคตเนื่องจากงบกระแสเงินสดจะแสดงให้ทราบถึงที่มาที่ไปของเงินสดว่า กิจการได้รับ หรือ จะต้องจ่ายเงินสดจากแหล่งใด เป็นจำนวนเท่าใด

4. เพื่อให้ผู้บริหารงานสามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินของกิจการได้

5. เพื่อให้ผู้บริหารทราบถึงความสามารถในการทำ กำไรของกิจการ 6. เพื่อให้ผู้บริหารทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์สุทธิ

 

งบกระแสเงินสดประกอบไปด้วยองค์ประกอบดังนี้คือ

• กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน คือ กระแสเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมหลักที่ก่อให้เกิดรายได้ของกิจการ และกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่กิจกรรมลงทุนหรือกิจกรรมจัดหาเงิน

• กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน คือ กระแสเงินสดที่เกิดจากการได้มาและการจำหน่ายสินทรัพย์ระยะยาวและเงินลงทุนอื่นซึ่งไม่รวมอยู่ในรายการเทียบเท่าเงินสด

• กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน คือ กระแสเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดและองค์ประกอบของส่วนของเจ้าของและส่วนของการกู้ยืมของกิจการ ดังแสดงในตัวอย่างดังรูป

 
โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
  

โปรแกรมบัญชีมีเพียงไม่กี่รายที่มี การคำนวณงบกระแสเงินสด โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP  เป็นโปรแกรมบัญชีที่มีการคำนวณงบกระแสเงินสดในตัวเองโดยไม่ต้องติดตั้งหรือซื้อเพิ่ม สามารถใช้งานได้จาก รายงาน >> รายงานบัญชี >> งบกระแสเงินสด

นวัตกรรมสำหรับงานบริการ

วันนี้พอดีผมได้ไปอ่านบทความนึงที่น่าสนใจต่อรูปแบบการบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบันนี้มาฉบับนึง ด้านนวัตกรรมการบริการ เลยจะขอมาแชร์บางส่วนของบทความให้ทุกๆท่านได้อ่านกันตามนี้ครับ

 
 
 
 

 

 

“นวัตกรรมช่วยทําให้ผู้ประกอบการค่อยๆ ก้าวนําคู่แข่งออกไปทีละน้อย ซึ่งหากองค์การใดไม่สามารถคิดค้น นวัตกรรมได้ในขณะที่องค์การอื่นๆ มีการคิดค้น เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการดําเนินการต่างๆ อยู่ ตลอดเวลา จะทําให้เกิดความเสี่ยงต่อผลการดําเนินงาน ขององค์การได้

 

นวัตกรรมการบริการเป็นแนวคิดที่ต่อยอดมาจาก เรื่องโซ่คุณค่า (Value Chain) หรือกระบวนการส่งต่อสินค้า และบริการให้ถึงมือลูกค้าอย่างราบรื่น เพียงแต่ได้เพิ่มเรื่อง การสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์บริการ การตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภคอย่างทันที (Real-time) ระบบการส่ง มอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูง และการใช้อินเทอร์เน็ตหรือ ระบบดิจิตอลมาให้บริการแก่ลูกค้า จุดเด่นของภาคบริการจึงอยู่ที่การเร่งหาความคิด ใหม่ๆ ช่วงชิงความต้องการบริโภคสินค้าในวิธีการที่แข่งกับ เวลาและเพิ่มแนวทางการจัดหาสินค้าสู่ผู้บริโภคด้วย คุณภาพ ราคา ตําแหน่งคุณค่าของสินค้าและความสัมพันธ์ กับคู่แข่ง นวัตกรรมการบริการสามารถเริ่มขึ้นตั้งแต่ กระบวนการผลิต การวางแผนการผลิตจําเป็นต้องควบรวม การผลิตเข้ากับการบริการ โดยบริษัทต่างๆ จะเน้นการ สร้างทักษะความสามารถในการปฏิบัติงานของพนักงาน ภายในมากกว่าการจ้างเอาต์ซอร์ส (Out Source) ส่งเสริมพนักงานให้มีความ สามารถในการใช้นวัตกรรม การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ การเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ด้วย การสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัย

 

การจัดการนวัตกรรมการบริการ

 

เศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบัน เป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพิง ภาคบริการเป็นหลัก กว่าร้อยละ 60 ของประเทศที่พัฒนา แล้ว มีสัดส่วน GDP ของประเทศมาจากภาคบริการ (กิตติ ยา กุลวัฒนาพร, 2552) เมื่อภาคบริการมีความสําคัญต่อ เศรษฐกิจโลก จึงเป็นที่มาของกระแสการแข่งขันแย่งชิง ลูกค้า และเป็นที่มาของกระแสนวัตกรรมบริการ ซึ่งก็คือ การนําแนวคิดนวัตกรรมมาใช้ในการหาแนวทางการ ดําเนินงานที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การจัดการนวัตกรรมได้รวมเอาศาสตร์หลาย แขนงมาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี วิศวกรรม สังคมศาสตร์ ศิลปศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจและการตลาด ด้วยเหตุนี้ การ จัดการนวัตกรรมจึงถือได้ว่าเป็นการจัดการศักยภาพใน หลายแขนงเพื่อให้ได้มาและรักษาศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ความรู้ แนวปฏิบัติ และ กระบวนการใหม่ที่ดีขึ้นเมื่อพิจารณาในด้านกิจกรรม จะพบว่าสิ่งสําคัญ ที่สุด คือ การปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shifts) เพื่อให้ เกิดมุมมองใหม่ในการบริหารทรัพย์สินที่ไม่สามารถจับต้อง ได้ โดยผู้ที่มีความสําคัญที่สุดในการปรับกระบวนทัศน์คือ ผู้ประกอบการหรือนักนวัตกรรม โดยกิจกรรมหลักที่นัก นวัตกรรมจะต้องให้ความสําคัญ ได้แก่ 1) กลยุทธ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเช่นการใช้ระบบ Cloud ช่วยในการบริการ ที่ช่วยในการทำงานกระจายของข้อมูลต่างๆ 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ 3) พันธมิตรธุรกิจ 4) การปฏิบัติงานและการผลิต 5) กระบวนการเชิงพาณิชย์6) การวิจัยและพัฒนา โดยมี ปัจจัยภายนอกหลัก 4 ด้าน เป็ นตัวกําหนดการปรับ กระบวนทัศน์ใหม่ในการจัดการนวัตกรรม ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบนวัตกรรม 2) การเปลี่ยนแปลง รูปแบบอุตสาหกรรม 3) ระบบธุรกิจและนวัตกรรม 4) โลกา ภิวัตน์(พันธุ์อาจ ชัยรัตน์, 2549: 17-18)

 

มาโคโตะ ยูซูอิ (2555) กล่าวว่า การจัดการ นวัตกรรมการบริการให้ประสบความสําเร็จจะต้องคํานึงถึง ปัจจัย 4 ประการ คือ

 
  1. ใช้แนวคิดที่มีผู้ดํารงชีวิต (ลูกค้า) เป็น จุดเริ่มต้น

  2. การปฏิรูปกรอบที่มีอยู่เดิม

  3. การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นแบบ แพลตฟอร์มที่เหมาะกับธุรกิจบริการ

  4. บริการที่มีลักษณะของการมีส่วนร่วม”

 

 

การปรับปรุง Platform และ ปฏิรูปกรอบเดิม สำหรับการบริการ มีอีกวิธีนึงคือการใช้ระบบสารสนเทศเข้ามาช่วย โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่ได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนอง การใช้นวัตกรรมการบริการอย่างแท้จริง

 

ที่มา วารสารการจัดการสมัยใหม่ ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2559 (ชัชพล ทรงสุนทรวงศ์, 13-24)

 

www.acccloud.tech

 

 

 
 
 
 

 

 
 
 
 

 

 

ตัวอย่างการวิเคราะห์ ROI และ ROE

ก่อนอื่นเรามาทราบก่อนว่า อัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของผลกำไรและสัดส่วนการลงทุน ที่เรียกว่า ROI และ ROEคืออะไร โดยปกติแล้ว เงินลงทุนจะถูกแบ่งออกมาเป็น 2 ชนิดประเภทด้วยกันคือ “เงินทุนส่วนของเจ้าของ” โดยปกติ เจ้าของกิจการมักใช้ทุนส่วนตัวในการเริ่มต้น แต่ปกติแล้วถ้าทุนไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องหาเงินทุนเพิ่มเติ่มในรูปแบบต่างๆ ที่เรียกว่า “เงินทุนจากแหล่งอื่น” เช่น การกู้ธนาคารหรือ สถาบันการเงิน การออกหุ้นกู้ เป็นต้น เมื่อได้เงินทุนที่เพียงพอแล้ว จึงนำมาดำเนินกิจการจนเกิดผลกำไรสุดท้ายที่เรียกว่า กำไรสุทธิ ดังนั้น

 

ROI อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment, ROI ) จึงคำนวณจาก ฐานเงินลงทุนรวม (ทุนส่วนของเจ้าของ และ ทุนจากแหล่งอื่น ) เพื่อแสดงถึง ประสิทธิภาพการดำเนินงานว่า “การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาจากเงินลงทุนทั้งหมดได้กี่เปอร์เซนต์” ดังนั้น ยิ่งค่า ROI สูง จึงยิ่งดี

 

ROI = (กำไรจากการดำเนินการ / เงินลงทุนรวม ) x100%

 
 
 

ROE อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของเจ้าของ (Return on Equity, ROE ) คำนวณจากฐานเงินลงทุนเฉพาะส่วนของเจ้าของ เพื่อแสดงว่า “การนำเงินทุนตนเองมาลงทุนครั้งนี้ จะได้ผลตอบแทน กลับคืนมากี่เปอร์เซนต์” ดังนั้น ยิ่งค่า ROE สูง จึงยิ่งดี

 

ROE = (กำไรจากการดำเนินการ / เงินลงทุนส่วนเจ้าของ ) x100%

 

ตัวอย่างเช่น

 

“นาย ก ลงทุนโครงการสร้างโรงงานขาย ต้องใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 25 ล้านบาท แต่ตัวเองมีเพียง 15 ล้านบาท นาย ก ได้ทำการกู้เงินสถาบันการเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท หลังจากนั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้วขายหมด ได้กำไรสุทธิหลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 7.5 ล้านบาท”

 

จากตัวอย่าง พบว่า

 

เงินทุนส่วนของเจ้าของ 15 ล้านบาท

 

เงินทุนจากแหล่งอื่น 10 ล้านบาท

 

มีกำไรสุทธิ 7.5 ล้านบาท

 

จะได้ ROI = ( 7.5 / 25 ) x 100 = 30%

 

ROE = (7.5 / 15) x 100 = 50%

 

แสดงว่า การลงทุนนี้ นาย ก มีผลตอบแทน 50% มีผลตอบแทนทั้งโครงการ 30%

 

การวิเคราะห์งบการเงินในส่วนนี้ มีอยู่ในโปรแกรมบัญชี AccCloud หัวข้อรายงาน >> ระบบบัญชี >> วิเคราะห์งบการเงิน

สามารถศึกษาข้อมูลของระบบบัญชีได้ที่นี่ >> คลิ๊ก

 

ที่มา www.acccloud.tech

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิวัฒนาการด้านการจัดเก็บฐานข้อมูล

ถ้าพูดถึงการดำเนินชีวิต หรือ การตัดสินใจต่างๆในโลกยุคปัจจุบัน สิ่งที่หนีไม่พ้นคือ การนำข้อมูลในอดีตที่ถูกต้องมาช่วยเป็นปัจจัยในการตัดสินใจว่าเราจะดำเนินการเรื่องต่างๆ หากเป็นในสมัยก่อน การนำข้อมูลในอดีตอาจจะไม่ได้มีความหมายมากสักเท่าไหร่ เนื่องจาก การเก็บข้อมูลต่างๆยังมีน้อยและ คู่แข่งของเราก็ไม่ได้แตกต่างกับเรามากนัก ดังนั้นในเมื่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางด้านการแข่งขัน และ ทางด้านเทคโนโลยีไม่ได้มีความแตกต่าง การดำเนินธุรกิจในสมัยก่อน ทุกๆคนจึงมีความเท่าเทียมกัน แต่แข่งกันที่การจัดการและ การนำมาใช้ซึ่งทรัพยากรของเราเท่านั้น

 

ในโลกยุคปัจจุบันจะแตกต่างกับในสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลจัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในปัจจุบันข้อมูลส่วนบุคคล หรือ องค์กรแทบจะถูกจัดเก็บตั้งแต่เราตื่นนอนมาตอนเช้า หรือ เราเข้าทำงานในวินาทีแรกเลยทีเดียว ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกประมวลผลและนำไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างเป็นจำนวนมาก ดังนั้นองค์กรที่รู้จักวิธีการใช้ของข้อมูล และ องค์กรที่มีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ดีและทันสมัยย่อมได้เปรียบในแง่โครงสร้างการบริหารกว่า องค์กรที่ไม่มี

 

ลักษณะของการจัดเก็บข้อมูลแบบดั้งเดิม เราจะใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า File Base หรือเก็บข้อมูลในรูปแบบไฟล์ เช่น dBase, Foxbase หรือ MS Access เป็นต้น ซึ่งมีข้อจำกัดสูงมากและ ไม่ยืดหยุ่นต่อการขยายตัวและการเติบโดในอนาคตของธุรกิจ รวมถึงยังมีความเสี่ยงต่อการ โดน Virus หรือ ไฟล์เสียไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในเช่น มีคนไปลบไฟล์ทิ้ง หรือ Harddisk เสีย หรือ ปัจจัยภายนอกเช่น เครื่องที่เก็บข้อมูลเสีย ไฟซ๊อต หรือ น้ำท่วมเป็นต้น

 

การจัดเก็บข้อมูลแบบยุคกลาง (Client Server) คือ การติดตั้งระบบฐานข้อมูลไว้เครื่อง Server และ การติดตั้งโปรแกรมไว้แต่ละเครื่องที่จะใช้งานโดยต่อสายแลนเพื่อใช้งานระบบ ในวิธีนี้ไม่แตกต่างจาก Filebase เลยคือมีความเสี่ยงซึ่งกลายคลึงกัน และ การเข้าถึงฐานข้อมูลยังมีช่องโหว่จำนวนมากอีกด้วย นอกจากนั้น หากธุรกิจที่มีสาขาจำนวนมาก จะใช้ระบบแบบนี้ไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องเทคโนโลยีการส่งถ่ายข้อมูลแบบดั้งเดิมจะไม่เหมาะสมกับการใช้งานผ่านเครือข่าย internet ทำให้องค์กรต้องไปเช้าสัญญาณ lease line ซึ่งราคาแพงมหาศาลมาใช้ในองค์กร

 

การจัดเก็บข้อมูลแบบยุคปัจจุบัน (Cloud Server) แบ่งเป็น Public Cloud และ Private Cloud กล่าวคือการใช้งาระบบผ่าน Cloud Service รองรับผู้ใช้ได้จำนวนมากๆ พร้อมกับรายการจำนวนมากเช่นเดียวกัน ไม่มีปัญหาเรื่องความเร็วในการใช้งาน เพราะใช้เทคโนโลยี แบบใหม่และมีการ update ตลอดเวลา รวมถึง การแก้ไขระบบผู้ใช้งานจะแทบไม่รู้สึกอะไร ไม่ต้องรอให้มีการ Remote ไปติดตั้งเสียเวลาเป็นวันๆ การ update จะใช้เวลาเพียง ไม่เกิน 5 นาที ทุกเครื่องผู้ใช้งานจะได้ระบบใหม่ในทันที และด้วยระบบ Cloud Server นั้น ระบบฐานข้อมูลได้ถูกแยกออกไปตามประเภทการใช้งานจำนวนมาก ดังนั้น ด้วยจำนวนข้อมูลที่สามารถรองรับได้มหาศาล รวมถึงความเสถียรและ ความถูกต้องของระบบจึงมีมากกว่าระบบแบบดั้งเดิม

 
 

ในอดีต จนถึงปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า รากฐานขององค์กรด้านการผลิตในแง่ข้อมูลจะหนีไม่พ้นข้อมูล 3 ส่วนด้วยกันคือ ข้อมูลด้านบัญชีการเงิน (ซื้อ ขาย จ่าย รับ ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ) ด้านสินค้าวัตถุดิบ และ ด้านการผลิตและสูตรต่างๆ ดังนั้น การจัดเก็บข้อมูลทั้ง 3 มิตินี้จึงนับเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องใช้ระบบที่ครอบคลุมกระบวนการทำงาน และมีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม (เช่นการใช้ระบบ Cloud เข้ามาช่วยในการทำงาน)

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud.tech เป็นระบบที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคตเช่นเดียวกัน

การสร้างรหัสพื้นฐานของระบบ

หากเราเปรียบข้อมูลของ องค์กร คือ กระแสเลือดในร่างกาย แล้ว รหัสพื้นฐานของระบบ สามารถเปรียบได้กับ โครงกระดูก ของร่างกายเลยทีเดียว สาเหตุเป็นเพราะหาก เรา Set Up ข้อมูลพื้นฐานผิดพลาดไป เช่นสร้างรหัสบัญชีจากรายได้ ไปอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย เวลาที่เราต้องการจะดูว่าธุรกิจเรากำไรขาดทุนเท่าไหร่ ผลก็คือจะขาดทุนตลอดเวลา หรือ หากเราสร้างรหัสสินค้า แบบไม่ถูกต้อง เช่นสร้างเสร็จแล้วทิ้งไปเรื่อยๆ นั่นก็หมายถึงวันนึงเราจะมีสินค้าเป็นล้านๆรายการทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมีแค่ไม่ถึง 1000 รายการ

 

ข้อมูลพื้นฐาน ผมขอเปรียบเสมือนกับ อะไหล่รถยนต์ รถยนต์คันไหน อะไหล่ยิ่งมาก ยิ่งดูแลลำบาก เพราะรายการอะไหล่ที่ต้องคอยเปลี่ยนมันเยอะและมันสัมพันธ์กันหมด เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะ Set รหัสที่มันมีเยอะจนเกินไป เพราะนอกจากจะดูและยากแล้ว ยังมีโอกาสหยิบผิดรหัสไปใช้งานได้เช่นเดียวกัน

 

สาเหตุที่องค์กรมีรหัสเยอะแยะมากมาย จากที่ผมเคยเจอมา จะเป็นเพราะ

 
  1. เจ้าหน้าที่คนเดิมตั้งไว้ โดยที่ตอนแรก ตั้งแค่ให้พอทำงานได้ แต่พอนานเข้าๆ การตั้งก็ตามใจฉันตั้งกันมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้ว พอเจ้าหน้าที่คนเดิมไม่อยู่ คนใหม่เลยทำอะไรไม่ถูกเพราะข้อมูลมันเยอะไปหมด
  2. การตั้งรหัส ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตกลงกันไว้แต่แรก โดยมากการตั้งรหัสเหล่านี้จะทำในโปรแกรมบัญชี ผู้ตั้งเวลาคิดอะไรไม่ออกก็จะใช้วิธี running number ไปเรื่อยๆ (วิธี Running Number เป็นวิธีที่ สร้างปัญหาในระยะยาวที่สุดในทุกๆวิธีของการตั้งรหัส)
  3. โปรแกรมบัญชีเดิม ไม่มีมาตรฐานการตั้ง (เน้นง่าย แต่สร้างปัญหาในระยะยาว) ทำให้ในระยะยาว การตั้งรหัสมั่วและ ซ้ำซ้อนได้ง่ายๆ

วิธีการตั้งรหัสที่ถูกต้อง

 

ทำได้ไม่ยาก ขอให้ทุกคนในบริษัทมาประชุมกันเรื่องมาตรฐานการตั้งรหัส ขอให้เน้นที่ทุกคนในองค์กรเข้าใจตรงกัน และ เป็นรูปแบบเดียวกัน เป็นใช้ได้ หรือหากต้องการข้อแนะนำใดๆ ขอเชิญมาอบรมวิธีการ Setup ข้อมูลพื้นฐานและติดตั้งรหัสได้ที่ บริษัท AccCloud.tech ในเวลาทำการ ทางเราจะมีบุคลากรให้คำแนะนำการ set up ข้อมูลประจำอยู่ที่บริษัทอยู่แล้ว ***การอบรมไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud.tech เป็นโปรแกรมที่เน้นด้านความถูกต้องเป็นหลัก ดังนั้นเรื่องการติดตั้งข้อมูลพื้นฐานทางเราจึงต้องตรวจสอบให้รอบคอบเสียก่อน ก่อนที่จะขึ้นระบบ

ความแตกต่างระหว่างโปรแกรมบัญชี โปรแกรมบัญชีออนไลน์ และ โปรแกรม ERP

ผู้ประกอบการโดยทั่วไปหลังจากก่อตั้งธุรกิจมาสักพัก จะเริ่มต้นหาระบบที่ช่วยในการบริหารจัดการภายใน ซึี่่งโดยมากถ้าไม่ได้ใช้ระบบอะไรที่ซับซ้อนมากนักในตอนก่อตั้งกิจการ อาจจะใช้โปรแกรม Microsoft Office ในการจัดการภายในเช่น เอาไว้ออกบิลขาย เอาไว้ออกเอกสารภายในง่ายๆ แต่จะไม่ค่อยตอบสนองในกรณีที่มีข้อมูลจำนวนมากขึ้น เช่นออกบิลมากขึ้น คุมสต๊อกที่มากขึ้น ดังนั้นขั้นถัดไปผู้ประกอบการจะเริ่มต้นหาโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ ซึ่งอาจจะซื้อมาในราคาถูกๆตอนเริ่มต้นเพื่อให้เพียงพอกับการจัดเก็บเอกสารและลงบัญชีแบบง่ายๆ ทำแค่องค์กรเล็กๆ

 

แต่ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัทมียอดขายที่มากขึ้น เริ่มมีรายการที่ซับซ้อนมากขึ้นต้องการควบคุมมากขึ้นและ ตัวเจ้าของเองไม่ค่อยมีเวลามาที่บริษัททุกวัน และต้องการข้อมูลที่ทันเวลามากยิ่งขึ้น การเลือกใช้โปรแกรมบัญชีที่เป็น Online จะมีความจำเป็นขึ้นมาทันที แต่อย่างไรก็ดี ปรแกรมบัญชีก็ยังไม่สามารถจะวางแผนต่างๆในองค์กรได้ เนื่องจากโปรแกรมบัญชี เป็นการเอาข้อมูลในอดีตมาบันทึกเพื่อออกรายงานเท่านั้น จะไม่ถึงการวางแผน เช่นด้านการผลิตสินค้าว่า เมื่อมี Order เข้ามาแล้ว จะต้องเตรียมวัตถุดิบอะไรจำนวนเท่าไหร่ วันไหนบ้าง การจะตอบโจทย์นี้ได้ ผู้ประกอบการจะต้องเปลี่ยนจากระบบมาเป็นระบบ ERP แทน ซึ่ง

ERP ย่อมาจาก Enterprise Resource Planning หรือแปลเป็นไทยว่า การบริหารทรัพยากรขององค์กร หมายถึง การวางแผนบริหารจัดการองค์กรให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยระบบ ERP จะทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูล และกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในองค์กรนั้นให้สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นระบบเดียว

การดำเนินงานในองค์กรหนึ่งๆ จะมีระบบข้อมูลภายในที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ระบบงานทางด้านบัญชี(แผนก/ฝ่ายบัญชี) และการเงิน(แผนก/ฝ่ายการเงิน) ระบบงานทรัพยากร
บุคคล(แผนก/ฝ่ายบุคคล) ระบบการให้บริการบุคคลภายนอกองค์กร(แผนก/ฝ่ายพัสดุหรือการจัดซื้อจัดจ้าง) รวมไปถึง ระบบบริหาร/ติดตามประเมินผล(ผู้บริหารองค์กร) ซึ่งแต่ละแผนก/ฝ่าย จะมีกระบวนการทำงานที่ทำให้เกิดข้อมูลต่างๆ มากมาย ซึ่งจะมีการไหลข้อมูลส่งต่อจากฝ่ายหนึ่งไปยังฝ่ายหนึ่ง หรืออาจจบในฝ่ายนั้น ๆ ดังนั้นในองค์กรจะมีข้อมูลมากมายที่แตกต่างกันหรือเหมือนกัน ซึ่งอาจเกิดจากฝ่ายเดียวกันหรือต่างฝ่ายเสมอๆ

Enterprise Resource Planning คือ แนะนำการบริหารทรัพยากรขององค์กรด้วย ERP -  Good Material

จากที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อช่วยให้เกิดการบูรณาการข้อมูลขององค์กรจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดกระบวนการทำงานที่ชัดเจน และ/หรือการควบคุมกระบวนการต่างๆนั้นด้วยซอฟต์แวร์เพื่อไม่ให้เกิดข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ช่วยลดเวลาและขั้นตอนของการทำงาน ดังนั้น จึงทำให้เกิด ระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP ขึ้น เพื่อทำให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดของทรัพยากร/ข้อมูลที่มีอยู่ อีกทั้งผู้บริหารองค์กรสามารถรับรู้สถานการณ์และปัญหาของงานต่างๆได้ทันที ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยทั่วไปแล้วระบบในปัจจุบันราคานับว่าสูงมากๆ และการใช้งานต้อง implement นานกว่าจะใช้งานได้เต็มที่

โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP เป็นลูกผสมระหว่างโปรแกรมบัญชีออนไลน์ และ โปรแกรม ERP กล่าวคือ สามารถใช้คุณสมบัติทั้งทางด้านออนไลน์ของโปรแกรมบัญชีได้ และ สามารถใช้คุณสมบัติการวางแผนทรัพยากร ของระบบ ERP ได้พร้อมๆกัน

 
 

 

การนำระบบ AccCloud ERP ไปใช้ในภาคการผลิต

โดยธรรมชาติของระบบผลิตในภาคอุตสาหกรรม สิ่งที่จำเป็นในอันดับต้นๆคือ การบริหารต้นทุน และ การวางแผนจัดการการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันเวลาและเสียหายน้อยที่สุด ดังนั้นระบบบริหารการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ นอกจากนั้น ระบบบริหารบัญชีการเงิน เป็นส่วนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน

 

ในระบบการทำงานของโรงงาน จะมีการผลิตอยู่ 2 แบบด้วยกันคือการ Made to Stock และ Made to Order โดยกระบวนการทำงานจะเป็นดังนี้

Workflow Enhancement via ERP | Download Scientific Diagram
 

หลังจากการรับ Order จากลูกค้า ฝ่ายขายเช็ค stock โดยหากในคลังมีสินค้าอยู่แล้วฝ่ายขายจะทำการจองสินค้าเพื่อขายแต่หากไม่มีของใน Stock ฝ่ายขายจะทำการแจ้งให้ฝ่ายผลิตไปทำการผลิตสินค้า จากนั้นฝ่ายผลิตจะทำการรวบรวม Order มาเพื่อทำการสั่งผลิต เช่นเดียวกับฝ่ายวางแผนวัตถุดิบว่าในปัจจุบันวัตถุดิบคงคลังเหลือเพียงพอผลิตหรือไม่ จะต้องสั่งซื้อกับ supplier มาเพิ่มจำนวนเท่าใด และ ฝ่ายวางแผนกำลังการผลิต จะต้องตรวจเช็คว่าเครื่องจักรสามารถรับกำลังการผลิตได้มากน้อยแค่ไหนในการผลิตให้ทันเวลา จากนั้นในขั้นตอนระหว่างการผลิตฝ่ายควบคุมคุณภาพจะต้องคอยตรวจสอบว่าจำนวนของเสียที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพื่อบันทึกเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการการผลิต จนกระทั่งผลิตเสร็จจึงรับเข้าสู่คลังสินค้าสำเร็จรูปรอการออกใบส่งไปให้กับลูกค้าอีกทีนึง

 

Workflow Automation with an ERP | OmegaCube Blog

 

 

ในระบบ ERP จะเริ่มจับกระบวนการตั้งแต่การเปิดรับ Order จากลูกค้าและนำไปเปิดใบแจ้งผลิตให้ฝ่ายผลิตเปิด Job งาน โดยที่จะต้องมีการ Set Up สินค้าสำเร็จรูปจะต้องมีสูตรการผลิต และ ต้องมีการกำหนดขั้นตอน พร้อมด้วยเครื่องจักรที่จะใช้ในการผลิตลงในระบบ จากนั้นทันทีที่มีการบันทึกรับ Order เข้ามาระบบจะทำการคำนวณหาสินค้าที่จะต้องสั่งซื้อมาใน Stock ให้อัตโนมัติ เพื่อให้ฝ่ายจัดซื้อออกใบสั่งซื้อไปยัง Supplier จากนั้นฝ่ายผลิตจะทำการออกใบ Job Order หรือใบสั่งผลิต เพื่อเป็นตัวตั้งต้นการทำงาน และ ทำการเบิกวัตถุดิบเพื่อทำการผลิต ในระหว่างการผลิตระบบจะทำการเก็บข้อมูลสินค้าระหว่างผลิตในแต่ละกระบวนการว่า สินค้าที่ดีและเสียจำนวนเท่าไหร่ จนกระทั่งผลิตเสร็จ ในระบบจะทำการให้ฝ่ายคลังทำการบันทึกรับสินค้าสำเร็จรูปเพื่อเก็บเข้าสู่คลังสินค้าสำเร็จรูป พร้อมด้วยต้นทุนการผลิตเข้ามาในตัวสินค้า ก่อนจะนำไปส่งมอบ อย่างไรในกระบวนการการส่งมอบโดยปกติแล้วในโรงงานจะมีรถส่งของของตนเอง ดังนั้นในระบบ ERP จึงมีระบบการจัดรถขนส่งเพื่อให้ฝ่ายจัดรถระบุรถให้ไปส่งกับลูกค้าได้

 

โดยในระหว่างที่มีการออกบิลขายตัวระบบเก็บต้นทุนขายในแต่ละบิล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบถึงกำไรขาดทุนเบื้องต้นต่อบิลได้ในทันที จากนั้นจะเป็นขั้นตอนในการวางบิลเก็บเงิน ออกใบเสร็จรับเงิน และ รับเงินเข้าระบบ ทั้งนี้ในระบบ ERP ประกอบด้วยส่วนงานบัญชี การเงิน ที่สามารถติดตามการรับชำระ ดูสถานบิลคงค้างที่ยังไม่ได้เก็บเงิน หรือ ดูว่าเช็คใบไหนที่ยังไม่ได้ขึ้นเงินบ้างได้

 

นอกเหนือจากนี้ในระบบ AccCloud.tech   ยังมีระบบเสริมการทำงานอีกหลายส่วนเช่น ระบบ Warehouse Online, Point Of Sale , Production Tracking ,PO Online และ อื่นๆ ที่เป็นตัวเสริมเพื่อช่วยในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ระบบ ERP ที่ดีในยุคปัจจุบันจะต้องจำเป็นที่จะต้อง On Cloud เนื่องจากเรากำลังอยู่ในยุค Thailand 4.0 ที่ทุกสิ่งอย่างจะต้องเชื่อมโยงเป็นสิ่งเดียวกัน(Connectivity) ทำงานแบบพร้อมๆกัน (Collaboration) และ สามารถติดตามการทำงานได้อย่างในปัจจุบัน(Real Time) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการที่ผู้บริหารสามารถทราบถึงผลการทำงานและสามารถตัดสินใจ เช่นจะรับหรือไม่รับงาน จะตั้งราคาขายเท่าไหร่ หรือ จะดูว่าสินค้าที่ผลิตไปแล้วดีหรือเสียมากน้อยแค่ไหน และแน่นอนในยุคปัจจุบันธุรกิจจะเน้นแข่งขันกันที่เทคโนโลยี และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้นในวันใดที่คู่แข่งหรือ คู่ค้าของเรามีเทคโนโลยีที่สูงกว่า นั่นหมายถึงเขาสามารถบริหารจัดการได้ด้วยเครื่องมือที่ประสิทธิภาพสูงกว่า หากเราปรับตัวไม่ทันนั่นย่อมหมายถึงในอนาคตตัวของเราอาจจะไม่สามารถอยู่ในตลาดได้ในระยะยาว

 
 
 

 

 

 

การนำเอานวัตกรรมด้าน Cloud Computing มาใช้ในงานด้านการบริหารจัดการอุตสาหกรรมในยุค Thailand 4.0

การนำเอานวัตกรรมด้าน Cloud Computing มาใช้ในงานด้านการบริหารจัดการอุตสาหกรรมในยุค Thailand 4.0

อุตสาหกรรม 4.0 - วิกิพีเดีย
 
 

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันสูงมาก การเข้าสู่ตลาดไม่ว่าจะเป็นในด้านใด สามารถทำได้ง่ายไร้ซึ่งข้อจำกัดหลายๆประการดังเช่นสมัยก่อน เนื่องจากความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของบุคคลทำได้ง่ายขึ้น โมเดลในธุรกิจทุกวันนี้หลายๆกิจการจึงเปลี่ยนมาเป็นการทำให้น้อยแต่ได้ผลมาก และการนำนวัตกรรมมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมจะต้องถูกขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม  

 
 

 

ดังนั้นในด้านของระบบผลิตในภาคอุตสาหกรรม การนำระบบสาระสนเทศในการบริหารองค์กรบนระบบ Cloud (Cloud Based ERP ) จึงนับเป็นสิ่งที่จำเป็นในอันดับต้นๆในการปรับตัวขององค์กร เพื่อประโยชน์ในด้านการบริหารต้นทุน และ การวางแผนจัดการการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันเวลาและและดูคุณภาพของสินค้าได้ทันที และติดตามด้านการเงินการบัญชี ตลอดจนขั้นตอนในการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่นเดียวกัน ในระบบ Cloud Based ERP จะประกอบไปด้วยส่วนงาน การขาย(Sale) การจัดซื้อ(Purchase) การควบคุมคลังสินค้า (Inventory) การผลิต (Production) การเงินรับชำระและจ่ายชำระ (Financial- Receive/Payment) การบัญชีและภาษีอากร( Accounting @ Tax) โดยที่ระบบจะทำงานผสานกัน เช่น ฝ่ายขายอาจจะอยู่ที่บริษัทลูกค้าและทำการออกใบเสนอราคาจากนั้นทำการ Order จากลูกค้า ฝ่ายขายเช็ค stock โดยหากในคลังมีสินค้าอยู่แล้วฝ่ายขายจะทำการจองสินค้าเพื่อขายแต่หากไม่มีของใน Stock ฝ่ายขายจะทำการแจ้งให้ฝ่ายผลิตไปทำการผลิตสินค้า จากนั้นฝ่ายผลิตจะทำการรวบรวม Order มาเพื่อทำการสั่งผลิต เช่นเดียวกับฝ่ายวางแผนวัตถุดิบว่าในปัจจุบันวัตถุดิบคงคลังเหลือเพียงพอผลิตหรือไม่ จะต้องสั่งซื้อกับ supplier มาเพิ่มจำนวนเท่าใด และ ฝ่ายวางแผนกำลังการผลิต จะต้องตรวจเช็คว่าเครื่องจักรสามารถรับกำลังการผลิตได้มากน้อยแค่ไหนในการผลิตให้ทันเวลา จากนั้นในขั้นตอนระหว่างการผลิตฝ่ายควบคุมคุณภาพจะต้องคอยตรวจสอบว่าจำนวนของเสียที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพื่อบันทึกเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการการผลิต จนกระทั่งผลิตเสร็จจึงรับเข้าสู่คลังสินค้าสำเร็จรูปรอการออกใบส่งไปให้กับลูกค้าอีกทีนึง

 
 

 

 

ในระบบ ERP จะเริ่มจับกระบวนการตั้งแต่การเปิดรับ Order จากลูกค้าและนำไปเปิดใบแจ้งผลิตให้ฝ่ายผลิตเปิด Job งาน โดยที่จะต้องมีการ Set Up สินค้าสำเร็จรูปจะต้องมีสูตรการผลิต และ ต้องมีการกำหนดขั้นตอน พร้อมด้วยเครื่องจักรที่จะใช้ในการผลิตลงในระบบ จากนั้นทันทีที่มีการบันทึกรับ Order เข้ามาระบบจะทำการคำนวณหาสินค้าที่จะต้องสั่งซื้อมาใน Stock ให้อัตโนมัติ เพื่อให้ฝ่ายจัดซื้อออกใบสั่งซื้อไปยัง Supplier จากนั้นฝ่ายผลิตจะทำการออกใบ Job Order หรือใบสั่งผลิต เพื่อเป็นตัวตั้งต้นการทำงาน และ ทำการเบิกวัตถุดิบเพื่อทำการผลิต ในระหว่างการผลิตระบบจะทำการเก็บข้อมูลสินค้าระหว่างผลิตในแต่ละกระบวนการว่า สินค้าที่ดีและเสียจำนวนเท่าไหร่ จนกระทั่งผลิตเสร็จ ในระบบจะทำการให้ฝ่ายคลังทำการบันทึกรับสินค้าสำเร็จรูปเพื่อเก็บเข้าสู่คลังสินค้าสำเร็จรูป พร้อมด้วยต้นทุนการผลิตเข้ามาในตัวสินค้า ก่อนจะนำไปส่งมอบ อย่างไรในกระบวนการการส่งมอบโดยปกติแล้วในโรงงานจะมีรถส่งของของตนเอง ดังนั้นในระบบ ERP จึงมีระบบการจัดรถขนส่งเพื่อให้ฝ่ายจัดรถระบุรถให้ไปส่งกับลูกค้าได้

 

โดยในระหว่างที่มีการออกบิลขายตัวระบบเก็บต้นทุนขายในแต่ละบิล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถทราบถึงกำไรขาดทุนเบื้องต้นต่อบิลได้ในทันที จากนั้นจะเป็นขั้นตอนในการวางบิลเก็บเงิน ออกใบเสร็จรับเงิน และ รับเงินเข้าระบบ ทั้งนี้ในระบบ ERP ประกอบด้วยส่วนงานบัญชี การเงิน ที่สามารถติดตามการรับชำระ ดูสถานบิลคงค้างที่ยังไม่ได้เก็บเงิน หรือ ดูว่าเช็คใบไหนที่ยังไม่ได้ขึ้นเงินบ้างได้

 

 

 

นอกเหนือจากนี้ในระบบ AccCloud  ยังมีระบบเสริมการทำงานอีกหลายส่วนเช่น ระบบ Warehouse Online, Point Of Sale , Production Tracking ,PO Online และ อื่นๆ ที่เป็นตัวเสริมเพื่อช่วยในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

อย่างไรก็ดี ระบบ ERP ที่ดีในยุคปัจจุบันจะต้องจำเป็นที่จะต้อง On Cloud เนื่องจากเรากำลังอยู่ในยุค Thailand 4.0 ที่ทุกสิ่งอย่างจะต้องเชื่อมโยงเป็นสิ่งเดียวกัน(Connectivity) ทำงานแบบพร้อมๆกัน (Collaboration) และ สามารถติดตามการทำงานได้อย่างในปัจจุบัน(Real Time) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อการที่ผู้บริหารสามารถทราบถึงผลการทำงานและสามารถตัดสินใจ เช่นจะรับหรือไม่รับงาน จะตั้งราคาขายเท่าไหร่ หรือ จะดูว่าสินค้าที่ผลิตไปแล้วดีหรือเสียมากน้อยแค่ไหน และแน่นอนในยุคปัจจุบันธุรกิจจะเน้นแข่งขันกันที่เทคโนโลยี และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่ได้ไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้นในวันใดที่คู่แข่งหรือ คู่ค้าของเรามีเทคโนโลยีที่สูงกว่า นั่นหมายถึงเขาสามารถบริหารจัดการได้ด้วยเครื่องมือที่ประสิทธิภาพสูงกว่า หากเราปรับตัวไม่ทันนั่นย่อมหมายถึงในอนาคตตัวของเราอาจจะไม่สามารถอยู่ในตลาดได้ในระยะยาว

 

www.acccloud.tech

Business Intelligent คืออะไร

 
 

คำถามมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำว่าในปีที่ผ่านมา เราทำอะไรไปบ้าง กิจการเรามีผลดำเนินการอย่างไร และปีนี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินงานในปีหน้าอย่างไร

 

ในองค์กรรูปแบบดั้งเดิม คำถามแบบนี้อาจจะได้คำตอบแต่อาจจะต้องรอไปเป็นเดือนๆ ให้ธุรการ มาสรุปข้อมูลของแผนกต่างๆให้เรา กว่าจะได้ครบบางแห่งก็กินเวลาไปเกือบ 3 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ทันและเราอาจจะสูญเสียโอกาสอะไรหลายๆอย่างไป นี่เป็นปกติ ขององค์กรที่ไม่สามารถตามเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงต่างๆได้ทันท่วงที ซึ่งจะมีผลต่อผลประกอบการ และ โอกาสหลายๆอย่างที่ต้องสูญเสีย

 

 

Business Intelligent จะมาช่วยธุรกิจในปัญหาด้านนี้ โดย Business Intelligent จะมี 2 คุณลักษณะด้วยกันคือ

 

1. นำเอาข้อมูลเดิมมาวิเคราะห์แบบ Pivot ได้หลากหลาย Dimension เช่น เราอยากทราบ ยอดขายของพนักงานขายแยกตามกลุ่มสินค้าและช่วงเวลาวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ ในไตรมาสที่แตกต่างกัน หรือ ตามสาขาๆต่างกัน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ จะเรียกรายงานสรุปมาดูแบบพื้นๆ เพราะข้อมูลต้องถูกการประมวลผลอย่างละเอียดและ ต้องผ่าน DataWarehouse ไว้ระดับนึงแล้ว

 

2. จากข้อมูลข้อ 1 เอามาทำนายผลในอนาคต เช่นเมื่อลด พนักงานขายในเขตนี้ไปเพิ่มอีกเขต(สาขา) แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น

 
 
 

จากข้อ1 และ ข้อ2 ล้วนเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของการนำเอาข้อมูลไปช่วยในการตัดสินใจของเจ้าของกิจการได้เป็นอย่างดี เช่น ตัดสินใจว่า จะลงทุนเพิ่มที่สินค้ารายการไหน จะหยุดสั่งซื้อสินค้าประเภทใดมาจำหน่าย หรือ ในช่วงเวลาใดเหมาะกบการทำ โปรโมชั่นมากที่สุด

 

 

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud  เป็นโปรแกรมบัญชีออนไลน์ โปรแกรมเดียวที่มีคุณสมบัตินี้ให้ใช้ฟรีโดยไม่คิดมูลค่าเพิ่มเติมจากระบบเดิม โดยระบบจะ ทำ Warehouse จัดเตรียมข้อมูลให้กับเจ้าของกิจการเรียกดูได้ตลอดเวลา

 

Education Template

Scroll to Top