Acccloud โปรแกรมบัญชี

การตลาด 4.0 คืออะไร และจะช่วยอย่างไรในธุรกิจเราได้

 
 
 

การตลาด 4.0 เป็นวิธีการทำตลาด แบบonline + offline ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้าเข้าด้วยกัน โดยใช้การเชื่อมต่อให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า เพื่อสร้างแบรนด์ โดยเป็นการกำหนดนิยามใหม่ให้กับการตลาด ซึ่งการตลาด Digital และการตลาดแบบ Traditional จะสามารถดำเนินการควบคู่กันไปในการตลาด 4.0 โดยมีเป้าหมายเพื่อชนะใจลูกค้า “แก่นแท้ของการตลาด 4.0 คือการเข้าใจถึงการเปลี่ยนบทบาทของการตลาดแบบดั้งเดิม ร่วมกับการตลาดดิจิทัลในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า”

 

แนวทางสำคัญของการตลาด 4.0 เริ่มจากการตลาดที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ซึ่งเน้นการทำให้แบรนด์มีคุณลักษณะคล้ายมนุษย์ จากนั้นจะศึกษาเรื่องการตลาดคอนเทนต์ (Content Marketing) ให้ละเอียดยิ่งขึ้นเพื่อสร้างบทสนทนาที่โดนใจผู้บริโภค รวมทั้งการนำการตลาดแบบเข้าถึงแบรนด์ได้ทุกช่องทาง หรือ Omnichannel Marketing มาใช้เพิ่มยอดขาย

 

หลักการของ Thailand 4.0 จะเน้นอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

 

1.) เปลี่ยนแปลงจากการผลิตสินค้าทั่วไป เป็นสินค้าเชิงนวัตกรรมมากขึ้น 2.) มีการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในอุตสาหกรรม 3.) เปลี่ยนจากประเทศที่รับจ้างการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เป็นการเน้นภาคบริการมากกว่าเดิม

 

5 กลยุทธ์สำหรับ Marketing 4.0

 
โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
 
 
 

Aware – รู้จักสินค้า Appeal – ชื่นชอบสินค้า Ask – เรียนรู้ (เช็ครีวิว – ถามเพื่อน – โทรติดต่อ call center – เช็คราคา) Act – ซื้อจากร้านหรือออนไลน์ ตัดสินใจใช้บริการ Advocate – ใช้ซ้ำ หรือแนะนำให้คนอื่น กลายเป็นผู้สนับสนุนให้กับแบรนด์

 
 

ดังนั้นเราสามารถปรับแนวคิดของ Marketing4.0 มาใช้ในธุรกิจได้ดังนี้

 
  1. การนำเสนอข้อมูลสินค้าให้ตรงกลุ่ม โดยดูจากข้อมูล

  2. การใช้ข้อมูล และ เครื่องมืออำนวยความสะดวกออนไลน์ ตัวอย่างเช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud ERP เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเป็นต้น

  3. เมื่อเราทราบข้อมูลแล้ว การมุ่งไปที่กลุ่มเห้าหมายย่อมทำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  4. สามารถรับฟังเสียงตอบรับและความคิดเห็นลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น

  5. สามารถสร้างช่องทางการขายออนไลน์ได้ ไม่จำกัด

  6. สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

สามารถเข้าใช้โปรแกรมบัญชีได้ที่ >>> โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP

 
บทความที่เกี่ยวข้อง
 
 

การแยกประเภทของความรู้สำหรับการจัดการความรู้

การทำงานในยุคปัจจุบันนี้ ความรู้นับเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็นหัวใจของความสำเร็จในการทำงานทุกประเภท วันนี้ผมจะอธิบายประเภทของความรู้ให้ทุกๆท่านได้ฟังคร่าวๆครับว่า ความรู้มีกี่ประเภทอะไรบ้าง อันไหนเอามาใช้ได้ทันที อันไหนเอามาใช้ได้ไม่ทันที

 

Sallis and Jone (2002)ได้กล่าวไว้ว่า ความรู้นับเป็นสินทรัพย์อันมีค่ายิ่งขององค์กร ในการสร้างสรรค์ และ เพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยความรู้อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ความรู้ที่ปรากฏชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดโดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นความรู้ที่อยู่ในรูปแบบของเอกสาร ตำรา

 

ทฤษฎี คู่มือ บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบ “รูปธรรม” และความรู้ซ้อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน เป็นภูมิปัญญา พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทําความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็น ทักษะการทํางานงานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์บางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบ “นามธรรม”

 

การนำความรู้ทั้งสองประเภทมาใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาองค์กร องค์กรจำเป็นต้องมีความตระหนักและกำหนดวิสัยทัศน์ให้ขัดเจนว่า ความรู้เป็นปัจจัยหลักในการนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ และ ผู้นำจำเป็นจะต้องเห็นค่าของการจัดการความรู้รวมถึงการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการสร้างองค์ความรู้

 

วิจารณ์ พานิช (2547) ได้แบ่งความรู้ออกเป็น 3 ประการดังนี้คือ

 

1. ความรู้ที่ไม่ชัดแจ้ง( Tacit Knowledge) ความคิดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อ ประสบการณ์ เป็นข้อสังเกตที่สั่งสมมานานจากการเรียนรู้ที่หลากหลาย จนเชื่อมโยงเป็นความรู้ที่มีคุณค่าสูง และความรู้ที่ฝังลึกนี้ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ทั้งหมด แต่จะเกิดจากการเรียนรู้ผ่านชุมชน เช่นการสังเกต การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างการทำงาน

 

2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) หรือความรู้ชัดแจ้งที่รู้กันโดยทั่วไปพบเห็นได้จากในตำรา ในหนังสือ หรือ สื่อต่างๆที่มีการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ สามารถเขาถึงและแลกเปลี่ยนได้ง่าย

 

3. ความรู้ที่แฝงอยู่ในองค์กร (Embedded knowledge) เป็นความรู้ที่ถูกแผงอยู่ระหว่างหระบวนการทำงาน คู่มือ และ กฏเกณฑ์ต่างๆ กติกา ข้อตกลง ตารางการทำงานและบันทึกการทำงาน

 

Edvinsson (2002) ได้แบ่งความรู้ออกเป็น 3 ประเภทคือ

 

1. ความรู้เฉพาะบุคคล (individual knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวพนักงานแต่ละคน

 

2. ความรู้ขององค์กร (Organization knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการแลกปลี่ยนการเรียนรู้ระหว่างพนักงานในองค์กรทำให้เกิดความรู้ สามารถใช้ประโยชน์ในการทำงานได้มากยิ่งขึ้น และ

 

3. ความรู้ที่เป็นระบบ (Structural Knowledge) เป็นความรู้ที่เกิดจากการสร้าง และต่อยอดองค์ความรู้เดิม

 

Nonaka & Takeuchi (1995) ได้แบ่งประเภทของความรู้เอาไว้เป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ 1. ความรู้ที่ไม่ชัดแจ้ง (Tacit Knowledge) หรือ ความรู้ที่ไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน เป็นความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลเกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ การกระทำ อาจจะเป็นความเชื่อ หรือ การมีพรสวรรค์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งยากต่อการถ่ายทอดในรูปของตัวอักษร และมีต้นทุนสูงในการถ่ายทอดความรู้ประเภทนี้ อย่างไรก็ดีความรู้ประเภทนี้จะก่อให้เกิดความสามารถในด้านการแข่งขันเนื่องจากความรู้ประเภทนี้อยู่กับคนข้างในองค์กร และ 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถนำมาแสดงให้บุคคลภายนอกเห็นได้ อาจจะอยู่ในรูปแบบหนังสือ บทความ เอกสาร ตำราต่างๆ ซึ่งจะทำให้คนสามาถเข้าถึงได้ง่าย อย่างไรก็ดี บุญดี บุญญากิจ และคณะ(2549) ได้กล่าวถึงอัตราส่วนระหว่างความรู้ที่ชัดแจงต่อ ความรู้ที่ไม่ชัดแจ้ง เป็น 20:80 ซึ่งเปรียบเสมือนความรู้ในองค์กรที่มีความชัดแจ้งมีอัตราส่วนที่น้อยกว่า ความรู้ที่ไม่ชัดแจ้งมาก

 

 

 

กล่าวโดยสรุป ประเภทของความรู้สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆด้วยกันคือ ความรู้ที่เห็นได้ชัดเจน( Explicit Knowledge) ซึ่งหมายถึงความรู้ที่สามารถอธิบายหรือ สื่อมาในรูปแบบของเอกสาร ตำรา บทความหรือรายงาน ต่างๆได้ หรือ แม้กระทั่ง software computer เช่น โปรแกรมบัญชี เป็นต้น และผู้ที่ต้องการเรียนรู้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่ยาก และ ความรู้ที่ไม่ชัดเจน ( Tacit Knowledge) หมายถึงความรู้ที่ไม่สามารถสื่อได้ง่าย ความรู้ประเภทนี้เกิดจากตัวบุคคลเอง เช่นประสบการณ์ การกระทำจนชิน การสังเกตจากเหตุการณ์ พรสวรรค์ หรือแม้กระทั่งความเชื่อต่างๆ

 
 
 
 

 

 

ในบทความถัดไปผมจะอธิบายเรื่องของการจัดการความรู้ให้ทุกท่านได้ฟังครับว่า มีวิธีการอย่างไรบ้าง ถึงจะเอาความรู้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP เป็นตัวอย่างนึงของการนำเอาความรู้ ทั้ง Explicit knowledge และ implicit knowledge มาใช้ให้เป็นประโยชน์ภายใต้ Software ที่เก็บรวบรวมองค์ความรู้เอาไว้

 

 

 

ที่มา www.acccloud.tech

แนวทางการ สร้างความรู้ ให้เกิดขึ้นภายในองค์กร

การสร้างความรู้เราจึงต้องรู้จักการนำความรู้ที่ไม่ชัดเจนขึ้นมาให้เป็นความรู้ที่ชัดเจน โดยมีแนวคิดสร้างความรู้ซึ่ง Nonaka (1994) ได้พัฒนารูปแบบการเปลี่ยนแปลงของความรู้ที่เรียกว่า SECI Model ( Socialization, Externalization, Combination, Internalization) โดยมีหลักการดังแสดงในภาพประกอบ ดังนี้

 
โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
 
 

 

 

ภาพ แสดงถึง การทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ โดยพัฒนาวงจรของ Tacit และ Explicit Knowledge

 

ตามรูปแบบดังกล่าว การสร้างความรู้เกิดขึ้นใน 4 ลักษณะ คือ Socialization, Externalization, Combination, และ Internalization

 

สำหรับ Socialization คือ การแบ่งปันและสร้าง Tacit Knowledge ด้วยการสื่อสารระหว่างกันในสิ่งที่เป็น Tacit Knowledge ของผู้ที่สื่อสารกัน ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรง เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้าและผู้รับจ้างช่วง หรือลักษณะ “การจัดการด้วยการเดินเยี่ยมในที่ทำงาน” (Management by walking around, MBWA)

 

เมื่อมีการแบ่งปันข้อมูลด้วยกระบวนการทางสังคมดังกล่าวแล้ว จะทำให้เกิดความคิด ใหม่ ๆ และความตระหนัก ถึงข้อมูลใหม่ ๆ ที่เปิดเผยออกมาและควรได้มีการเปลี่ยนให้เป็นรูปของภาษา ซึ่งก็คือ Explicit Knowledge กระบวนการลักษณะนี้เรียกว่า Externalization

 

จากนั้น จะต้องมีการรวมตัวอย่างที่ได้เรียนรู้ของ Explicit Knowledge เข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้ใหม่จากการกระทำดังกล่าว ในขั้นนี้ระบบสารสนเทศจะมีบทบาทสำคัญมาก

 

ลักษณะการสร้างความรู้ขั้นสุดท้าย คือ ขั้น Internalization ซึ่งเป็นการนำความรู้ไปปฏิบัติทำให้มีการแปลง Explicit Knowledge ให้เป็น Tacit Knowledge โดยจะมองเห็นเป็นเทคโนโลยี สินค้า บริการ และการแก้ไขปัญหาให้แก่ลูกค้า และการมีปฎิสัมพันธ์กับลูกค้าก็จะนำกระบวนการกลับไปสู่วงจรเดิม คือ ขั้นแรกของการสร้างความรู้ คือ Socialization อีก

 

กล่าวคือ Socialization เป็นการรับความรู้สู่ภายใน การแบ่งปันและสร้างความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรง เช่นการพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อให้ได้ข้อมูลในเชิงความคิดเห็นที่แลกเปลี่ยน

 

Externalization เป็นการนำความรู้ภายในบุคลสู่ภายนอก ในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยเป็นการเปลี่ยนจาก Tacit knowledge ไปเป็น Explicit knowledge เช่นการบรรยาย สัมมนา หรือ การเขียนคู่มือการปฏิบัติงาน

 

Combination เป็นการผนวกความรู้ที่ชัดเจนจากภายนอกเข้าด้วยกัน โดยการรวบรวม ข้อความเอกสาร บทความ หลายๆชุดเพื่อประมวลไปเป็นความรู้ใหม่ (รวม Explicit knowledge หลายประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นความรู้ใหม่เกิดขึ้นมา) และ

 

Internalization เป็นการรับความรู้จากภายนอกเข้ามาสู่ภายในบุคคล และ เป็นการแปลง explicit knowledge ไปเป็น tacit knowledge อีกหนนึง มักจะเกิดการนำความรู้ที่เรียนรู้มาปฏิบัติ และนำไปปรับใช้ในการทำงานจนทำให้เกิดทักษะ และความชำนาญ จนกลายเป็น Tacit knowledge ใหม่อีกหนนึง และ กระบวนการจะเริ่มวนกลับมาที่ Socialization ใหม่อีกรอบ

 

 

 

การแปรรูปจาก Tacit Knowledge ไปเป็น Explicit Knowledge สุดท้ายจะได้เป็นความรู้ที่จับต้องได้เช่นหนังสือ ตำรา คู่มือ หรือสื่ออื่นๆเช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP เป็นตัวอย่างนึงของการแปรรูปความรู้จาก Tacit knowledge ไปเป็น Explicit knowledge โดยรวบรวมจากประสบการณ์ทางด้านระบบบัญชี ระบบสารสนเทศ ระบบการผลิต ต่างๆรวมกันเป็น Software ที่ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานได้ในทุกระดับ

 

 

 

ที่มา www.acccloud.tech

 

 

องค์ประกอบของการจัดการความรู้

บทความนี้จะยาวหน่อยนะครับ (ตั้งใจเขียนพอสมควร) เรื่องนี้ค่อนข้างจำสำคัญคือองค์ประกอบของการจัดการความรู้ ครับ

 

 

 
 
 
 

 

 

ในการจัดการความรู้โดยทั่วไปมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนคือ คน (man) เทคโนโลยีสารสนเทศ (information technology-IT) และกระบวนการจัดการความรู้ (process) โดย Awad and Ghaziri (2004) ได้กล่าวถึง ความสำเร็จของความรู้เกิดจากการผสมผสานระหว่างการทำงานของคน กระบวนการ และ เทคโนโลยี มีรายละเอียดดังนี้

 

ก. องค์ประกอบแรกสุดคือ คน (man) ในการจัดการความรู้ คนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด เนื่องจากคนเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ส่วนบุคคล (personal knowledge management-PKM) คือ ผู้ซึ่งต้องการจัดการความรู้เพื่อการใช้ประโยชน์กับตัวเอง จึงสามารถจัดการทุกอย่างทุกขึ้นตอนได้เองเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีบ้างที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น(ศรัญญาภรณ์ , 2554) บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดการความรู้หรือ KM Team ขององค์กรอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆด้วยกัน คือ ส่วนงานหลักหรือส่วนงานถาวร (core team or permanent team) และส่วนงานชั่วคราว (contemporary team)

 

ส่วนงานหลักหรือส่วนงานถาวรเป็นคณะทำงานที่รับผิดชอบการดำเนินการจัดการความรู้ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนงานนี้จะประกอบด้วยบุคลากร 3 ฝ่าย ได้แก่ หัวหน้างาน หรือผู้จัดการความรู้ เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ซึ่งมีบทบาทในการขุดหา ความรู้ภายในองค์กรออกมาโดยการใช้โครงการการจัดการความรู้ รับผิดชอบในการสร้างวิสัยทัศน์ในสิ่งที่เป็นไปได้ ออกแบบกรอบงานที่ให้ผลคุ้มค่า และ เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ประสานงานและการจัดให้มีกิจกรรมการจัดการความรู้ทั้งหมดขององค์กร และบุคลากรกลุ่มที่สอง ได้แก่ หัวหน้างาน (Chief Information Officer- CIO) เป็นผู้รับผิดชอบงานทั้งหมดขององค์กร และ กลุ่มสุดท้ายคือ ตัวแทนจากกลุ่มงานหลักขององค์กร

 

ส่วนงานชั่วคราว เป็นคณะกรรมการที่มาจากกลุ่มเฉพาะ (Tiwanna, 2002: 206) องค์กรต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ขององค์กร คือ กลุ่มผู้ใช้ผลผลิตและบริการขององค์กร จึงควรให้บุคคลเหล่านั้นมาเป็นหุ้นส่วนและร่วมกันวางแผนงานให้กับองค์กร (Rumizen, 2002: 67) นอกจากทีมงานทั้งสองทีมแล้ว บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการจัดการความรู้ขององค์กรอย่างมากคือ ผู้บริหารสูงสุด (Chief Executive Officer-CEO) โดยปกติจะอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาโครงการจัดการความรู้

 

ข. องค์ประกอบที่สองคือ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology-IT) สมชาย นำประเสริฐกุล (2546:105) ได้กล่าวว่า ในเรื่องของการจัดการความรู้นั้นมีงานวิจัยเป็นจำนวนมากที่พยายามอธิบายความสัมพันธ์และบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการจัดการความรู้ ดังที่ปรากฎว่าเป็นเรื่องราวจำนวนมากที่แสดงถึงการจัดการความรู้ขององค์กรผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ แม้ว่ากระบวนการจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่ไม่ใช้เทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีก็เป็นที่ถูกคาดหมายว่าเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้การจัดการความรู้ประสพความสำเร็จ องค์กรส่วนใหญ่จึงมีการจัดสรรงบประมาณในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม มาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการความรู้ขององค์กร

 

เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องและมีบทบาทในการจัดการความรู้ประกอบด้วยเทคโนโลยีในการสื่อสาร (Communication Technology) ช่วยให้บุคลากรสามารถเข้าถึงความรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น รวมทั้งสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เชียวชาญสาขาต่าง ๆ ในการค้นหาข้อมูล สารสนเทศผ่านเครือข่ายได้ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือโซเชียลมีเดีย เทคโนโลยีการทำงานร่วมกัน (Collaboration Technology) ช่วยให้สามารถประสานการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอุปสรรคเรื่องของระยะทาง และเทคโนโลยีในการจัดเก็บ (Storage Technology) ช่วยในการจัดเก็บและจัดการความรู้ต่าง ให้เป็นระเบียบและสะดวกต่อการค้นหา โดยเทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนช่วยประสาน สนับสนุนและอำนวยความสะดวกกระบวนการจัดการความรู้ ทั้ง 3 ดังนี้

 

การแสวงหาความรู้ เป็นการแสวงหาความรู้ทั้งที่เป็นการหยั่งรู้เอง (Tacit Knowledge) ทักษะ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทั้งนี้ผู้มีประสบการณ์สูง จะมองเห็นแนวโน้มหรือทิศทางความต้องการใช้ความรู้ด้านต่าง ๆ แล้ววางแผนและดำเนินการที่จะจัดหาความรู้นั้น ๆ มา โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่าง ๆ เป็นเครื่องช่วยประสานและอำนวยความสะดวก

 

การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ เป็นการเผยแพร่และกระจายความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ในการนี้ การเรียนรู้จากผู้เชียวชาญจะช่วยให้ผู้ดำเนินการจัดการความรู้มือใหม่ผ่านเครือข่ายการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ

 

การใช้ประโยชน์จากความรู้ การเรียนรู้จะบูรณาการอยู่ในองค์กร มีอะไรอยู่ในองค์กร สมาชิกองค์กรสามารถรับรู้และประยุกต์ใช้สถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ทั้งการแลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้ และการใช้ประโยชน์ความรู้ จะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตาม ในความหมายของ IT ไมได้หมายถึงเพียงแค่อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือซอฟท์แวร์เพียง เท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้หมายรวมถึงความสำคัญของคน เป้าหมายที่คนวางหรือกำหนดในการใช้เทคโนโลยีนั้น ๆ คุณค่าในการเลือกใช้เทคโนโลยีตลอดจนเกณฑ์ในการประเมินที่ใช้ในการตัดสินใจในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในงานต่าง ๆ (Zorkoczy, 1984, p.12)

 

ค. องค์ประกอบที่สามคือ กระบวนการจัดการความรู้ (Process)

 

วิจารณ์ พานิช (2549)ได้กล่าวถึงกระบวนการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาของความรู้ หรือการจัดการ ความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้คือ

 
  1. การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) เป็นการพิจารณาว่าองค์กรเรามีพันธกิจ วิสัยใทัศน์ เป้าหมายอะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด และอยู่ที่ใคร

  2. การสร้างและการแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation & Acquisition) เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

  3. การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต

  4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification & Refinement) เช่นการปรับปรุงเอกสารให้เป็นรูปแบบมาตรฐาน ใช้ภาษาในการสื่อสารเป็นภาษาเดียวกัน ประปรุงเนื้อหาความรู้ให้สมบูรณ์

  5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Dissemination & Access) เป็นการทำให้ผู้ใช้เข้าถึงความรู้อย่างเป็นระบบได้ง่ายและสะดวกขึ้น การกระจายความรู้ให้ผู้อื่นทางช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม

  6. การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) เป็นการนำความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกันด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น ในกรณีเป็น Explicit Knowledge อาจทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ คลังความรู้ หรือในกรณีเป็น Tacit Knowledge อาจทำเป็นระบบทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่ม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ และระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นต้น

  7. การเรียนรู้และการนำไปใช้งาน (Learning & Utilization) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการการจัดการความรู้ เป็นการที่บุคคลเกิดการเรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน และหมุนเวียนไปอย่างต่อเนื่อง

โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
 

ผ่านประสบการณ์ที่มีผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ได้ผ่านการทดลองใช้มาแล้ว เนื่องจากการเติบโตของความรู้และองค์กรธุรกิจใช้ความรู้มากขึ้น ทำให้ลักษณะการทำงานขององค์กรปลี่ยนไป ลักษณะของงานที่เปลี่ยนแปลง ไปเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้มีการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วยเช่นกัน

 

ท่านผู้อ่านสามารถดูตัวอย่างการจัดการความรู้ที่ประสบความสำเร็จในรูปของ Software ที่ได้จากองค์ความรู้ ได้ที่ www.acccloud.tech

 

ที่มา โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP

5 ขั้นตอนการทำธุรกิจออนไลน์

 
 
 
  1. วางแผนและกลยุทธ์การตลาด

  2. ก่อนอื่นกิจการจะต้อง วิเคราะห์ก่อนครับว่า จุดเด่นของกิจการคืออะไร คู่แข่งเป็นใคร กล่าวคือ ต้องวิเคราะห์ SWOT ของกิจการเสียก่อน หลังจากนั้น วิเคราะห์ Segment , Target และ Position ของสินค้าตนเองในตลาด

  3. วางแผนการดำเนินการ

  4. ในขั้นนี้คือการร่าง Business Model และ แผนการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอน เช่นแผนการติดต่อ supplier การหาลูกค้า การหาชื่อ website ที่สอดคล้องกับกิจการ

  5. พัฒนา Web site

  6. ในขั้นตอนนี้ เจ้าของกิจการจะทำการพัฒนา Web site ให้มีความเข้าถึงง่าย ใช้งานง่าย มีความน่าเชื่อถือ และ มี function ครบ และมี การโปรโมชั่นเป็นระยะ

  7. พัฒนา Content Optimization

  8. หรือ การทำ SEO ในขั้นตอนนี้ คือการทำให้ Website ขึ้นหน้าแรกใน Google ** ในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในทุกขั้นตอนของการทำ Online Business

  9. อย่าลืมทำ Offline Marketing ควบคู่กันไปด้วย

  10. เช่นการโปรโมท ร้านด้วยวิธีการอื่นๆ

** ท่านทราบหรือไม่ว่า การใช้โปรแกรมบัญชี AccCloud ทันที ที่มีการลงทะเบียน Web site กับเรา

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud มี Function ช่วยในการโปรโมท Website ของท่านให้อยู่อันดับที่สูงขึ้นใน Google ด้วยเช่นกัน 

 

ถ้าต้องการเข้าใช้งานโปรแกรมบัญชี Accloud สามาเข้าใช้งานได้ >>ที่นี่<<

 
บทความที่เกี่ยวข้อง 

 

สำรวจตัวเองก่อนจะมาเป็นผู้ประกอบการ

1. เป็นผู้ที่มีเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ชัดเจน

 

2. มีความมุ่งมั่นสูงที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ

 

3. มีความอ่อนน้อม ไม่ถือตัว

 

4. เป็นคนที่ใฝ่รู้อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาทำให้สามารถปรับตัวได้เสมอ

 

5. มีภาวะผู้นำ กล้าเสี่ยง และกล้าที่จะตัดสินใจ

 

6. ทำงานเร็ว รวมถึงมีสัมผัสที่เร็วต่อโอกาส ปัญหา และอุปสรรค

 

7. มีความฝัน ความคิดริเริ่ม และความคิดที่จะปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดีขึ้นตลอดเลา

 

8. ต้องมีเครือข่ายดี เพื่อที่จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้งด้านข้อมูล และการได้รับความ ช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จากเพื่อน ๆ หรือเครือข่ายได้เป็นอย่างดี

 

9. ต้องมีความรู้จริง รู้สึก (Knowledge) ในธุรกิจที่ลงทุน

 

10. ไม่คิดว่าธุรกิจที่ทำอยู่เป็นงานที่ต้องทำ แต่เป็นงานที่อยากทำ

 

11. เก่งที่รู้จักเลือกหาทีมงานที่ไว้ใจได้

 

12. มีความรู้สึกยินดี เมื่อต้องให้

 
 
 
 

 

 

 

 

หากท่านสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีเกิน 6 ข้อ แสดงว่า ท่านพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ประกอบการ แล้วจะรออะไรล่ะ เริ่มลงมือได้เลยครับ เริ่มจากหาโปรแกรมบัญชีดีๆ ที่มีไว้ในกิจการ เช่น โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP ก่อนเลยครับ

 

 

 

ที่มา: โปรแกรมบัญชี www.acccloud.co

การจัดการของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม

บทความนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP สักเท่าไหร่นะครับ แต่เป็นประสบการณ์จากที่ได้ไป Consult โรงงานมาหลายๆที่

 

ทุกโรงงานไม่ว่าจะมีการจัดการที่ดี หรือไม่ก็ตาม จะมีสิ่งนึงที่คล้ายๆกันคือ ของเสียจากการผลิต ไม่ว่าจะเป็นของที่ต้องเสียทิ้งจริงๆหรือ ของที่ยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ ในกรณีที่ของเสียทิ้งจริงๆการจัดการของเสียนับเป็นสิ่งที่สำคัญหลักคือพยายาม ให้นึกถึงโรงงานคือร่างกายของเราเอง ของเสียคือสิ่งที่ขับถ่ายจากร่างกาย ดังนั้นการจะสิ่งของเสียจากร่างกายต้อง รับประทานอาหารที่มีคุณค่า ปริมาณให้เพียงพอไม่มากเกินไป

 

ในโรงงานก็เช่นเดียวกันหลักการคือ

 

1. ลดการใช้วัตถุดิบ ใช้เท่าที่จําเป็น (Reduce)

 

2. พยายามซ้ำ (Reuse)

 

3 นำมาแปรรูปมาใช้ใหม่ (Recycle)

 

โรงงานอุตสาหกรรมที่มีการจัดการของเสีย จะมีกิจกรรมต่างๆดังนี้คือ

๐ มีปรับปรุงกระบวนการผลิตทั้งในส่วนของการผลิตและกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

๐ จัดการกับของเสียแต่ละประเภทตามสมควรและ คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด

๐ ยึดตามกฎหมายกําหนดเป็นตัวตั้งต้นก่อน จากนั้นค่อยมาดูกิจกรรมการจัดการของเสียชนิดต่างๆ ตั้งแต่การจัดเก็บของเสีย การนําไปใช้ และการกำจัดทิ้ง

 

ประโยชน์จากการจัดการของเสีย หลักๆคือการลดต้นทุนการปฏิบัติงาน การลดต้นทุนพลังงาน การมีพื้นที่ใช้สอยในโรงงานที่มากขึ้น และ แน่นอนว่าประสิทธิภาพการผลิตจะสูงขึ้นตามไปด้วยครับ

 
 
 
 

 

 

 

 

 

5 ข้อบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของเรา

 
 
 
 

5 ข้อบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจของเรา

 

พูดถึงการเปลี่ยนแปลง นับเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในยุคไหนเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงยิ่งเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่เคยมียุคไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงได้มากเท่ายุคนี้อีกแล้ว แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า การเปลี่ยนแปลงมาเคาะประตูบ้านเราแล้วในตอนนี้ ข้อสังเกตมี 5 ข้อนี้ครับ

 
  1. ธุรกิจเริ่มมียอดขายลดลง เช่น ในปีที่แล้ว เดือน มกราคม ธุรกิจเราเคยมียอดขาย 10 ล้านบาท พอมาปีนี้เหลือเพียง 7 ล้านบาท สาเหตุมาจากการที่เรามีคู่แข่งในตลาดหรือไม่ สินค้าของเราเริ่มขายไม่ออก

  2. ธุรกิจเริ่มมีปัญหาเรื่อง พนักงาน เช่น มีการเรียกร้องต่อรองมากขึ้น หรือ มีการโยกย้ายงานมากขึ้น

  3. ธุรกิจเริ่มมีปัญหาด้านการจัดการภายใน มากขึ้น ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยขึ้น

  4. ธุรกิจเริ่มมีปัญหาด้านการสื่อสารกับลูกค้า หรือ การพบปะกับลูกค้าไม่ทันเวลา

  5. ธุรกิจมีปัญหาด้านต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าของธุรกิจไม่ทราบว่า ธุรกิจกำลังมีปัญหา ซึ่งโดยมากจะเกิดจากไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องให้ทราบ

 

5 ปัจจัยนี้ บ่งบอกถึงว่า เราควรจะปรับตัวได้แล้ว ทั้ง 5 ข้อปัญหาใหญ่ร่วมกันคือ ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลจากภายใน และ จากภายนอก ถ้าจากภายในก็คือ ข้อมูลการบริหารไม่ถูกต้อง หรือ ไม่ทันท่วงที ทำให้การตัดสินใจต่างๆผิดพลาดไป ส่วนข้อมูลจากภายนอกคือข้อมูลของคู่แข่ง และ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เช่นยุคของ Cloud คู้แข่งทุกรายปรับตัวเองให้ลดต้นทุนต่ำลง ใช้คนน้อยแต่ทำงานได้มากขึ้น ใช้ระบบสารสนเทศเข้ามาช่วยบริหารจัดการเป็นต้น

 

ข้อมูลจากภายในโดยมากจะมาจากข้อมูลใน โปรแกรมบัญชี ที่ช้าและล้าหลัง ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ทันท่วงที ดังนั้นการเลือกโปรแกรมบัญชี ที่จะเข้ามาช่วยธุรกิจจึงสำคัญมากๆ โปรแกรมบัญชีที่ดีต้องมีฟังก์ชั่นลงลึกในรายละเอียด ช่วยในด้านการวิเคราะห์ในเชิงลึกได้ ช่วยกิจการวางแผนการดำเนินงานต่างๆ เช่นวางแผนจัดซื้อวัตถุดิบ วางแผนการผลิตได้ ไม่ใช่แค่เก็บข้อมูลออกงบ เท่านั้น

 
 

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป แน่นอน สามารถช่วยกิจการในปัจจัยภายในได้100% 

เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ www.acccloud.tech

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

การติดตั้งรหัสสินค้าในอุตสาหกรรมผลิต

ทำไมต้องติดตั้งรหัสสินค้าในอุตสาหกรรมผลิต

โดยอุตสาหกรรมการผลิต จะมีลักษณะคล้ายๆกัน (ร่วมกัน) เกี่ยวกับสินค้าและวัตถุดิบ ดังนี้

 
  1. วัตถุดิบมีจำนวนมาก แต่ที่ใช้จริงๆมีไม่ถึง 20% ที่เหลือเป็น วัสดุสิ้นเปลือง

  2. วัตถุดิบที่มีจำนวนมาก โดยมากจะไม่ทราบถึงจำนวนสต๊อกคงเหลือที่แท้จริง

  3. สินค้าสำเร็จรูป เดียวกัน แต่สูตรการผลิตแตกต่างกัน ตามลูกค้าแต่ละเจ้า ทำให้สินค้าเดียวกัน กลายเป็นหลายสินค้าไป

และอื่นๆ

 

ดังนั้น การติดตั้งรหัสสินค้า ในระบบบริหารการผลิต จึงเป็นหัวใจที่สำคัญ เนื่องจาก รหัสสินค้าจะเป็นโครงของระบบ เป็นหัวใจของการควบคุมสต๊อก เพื่อให้ทราบว่าสินค้าแต่ละตัวมีจำนวนคงเหลือเท่าไหร่กันแน่

การติดตั้งรหัสสินค้าในอุตสาหกรรมผลิต

การติดตั้งรหัสสินค้านับเป็นศาสตร์และศิลป์ ในการตั้งไปพร้อมๆกัน เช่น การตั้ง Code ให้อ่านได้รู้เรื่อง เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภท TV LED ยี่ห้อ Samsung รุ่น AD1885 เราอาจจะตั้งเป็น TVLED-EL-AD1885

 

โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 

โดยที่ความหมายคือ TVLED กลุ่ม EL(ectric) รุ่น AD1885 ข้อดีคือผู้อ่านจะเข้าใจทันที โดยไม่ต้องไปหาชื่อสินค้า แต่ข้อเสียคือ ต้องคิดและวางแผนการตั้งรหัสก่อน เพื่อให้สื่อความหมายและใข้ได้ในระยะยาว

 

หรือประเภท 2 คือ การตั้งโดยยึดจาก Running No. เช่น TV000001 เป็นต้น วิธีนี้ข้อดีคือง่าย แต่ข้อเสียคือ ไม่สื่ออะไรเลย (โดยมากผมจะเจอรหัสที่ตั้งแบบนี้เป็นจำนวนมาก จากโปรแกรมบัญชีตามท้องตลาด) พอใช้ไปนานๆเข้า จะกลายเป็นสินค้าเดียวกันแต่มีหลายรหัส เพราะเราจำไม่ได้ว่าเคยตั้งไปแล้วหรือยัง

 

ดังนั้น การตั้งรหัส ควรจะแยกประเภทเป็น สินค้าสำเร็จรูป และ วัตถุดิบ และ วัตถุดิบสิ้นเปลือง

โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP
 

ประเภทสินค้าสำเร็จรูป และวัตถุดิบ ควร ตั้งเป็นรหัสที่อ่าน Code ออกและ ประชุมวางแผนการตั้งรหัสให้เรียบร้อยเสียก่อน ส่วนวัตถุดิบสิ้นเปลือง ควรจะต้องวิเคราะห์ว่าเราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องคุม Stock ถ้าจำเป็นให้ตั้งรหัสที่มีความแตกต่างจาก สินค้าสำเร็จรูป และ วัตถุดิบ ส่วน ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ต้องตั้ง ใช้รหัสกลาง แต่เปลี่ยนชื่อสินค้าตอนออกเอกสารเอา โปรแกรมบัญชี ทั้วไปจะไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ยกเว้นโปรแกรมบัญชี AccCloud ERP ซึ่งมี Function รองรับทุกรูปแบบในการตั้งรหัส เนื่องจาก โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP ได้ผ่านการนำไปใช้ในโรงงานผลิตจำนวนมาก และได้มีการปรับแก้ไขให้รองรับกรณีต่างๆเหล่านี้แล้ว

 

ดูรายละเอียดได้ที่ www.acccloud.tech

โปรแกรมบัญชี

โปรแกรมบัญชีที่ดีควรประกอบด้วยอะไรบ้าง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันโปรแกรมพื้นฐานของแต่ละกิจการมีหลักๆไม่กี่อย่างเช่น โปรแกรม Microsoft Office เช่น Excel, Word และ โปรแกรมบัญชี ที่แทบทุกกิจการจะต้องมีใช้ นอกจากนั้นก็จะเป็น โปรแกรมติดต่อสื่อสารประเภท Line หรือ email เป็นต้น

 

ในบทความนี้ผมจะมารีวิวในส่วนของโปรแกรมโปรแกรมบัญชีครับ (Romney and Steinbart (2003) )ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า “โปรแกรมทางการบัญชี คือ ระบบการทำงานระบบหนึ่งซึ่งประกอบด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ ทรัพยากรมนุษย์ และนโยบายของบริษัท เน้นถึงการใช้ข้อมูลทางการบัญชีที่เกิดจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจเพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักดังนี้

 

1. การเก็บรวบรวมและบันทึกรายการค้าของธุรกิจ

 

2. การประเมินผลข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่มีประโยชน์ การวางแผน การสั่งการ และการควบคุม

 

3. การจัดให้มีการควบคุมข้อมูลของธุรกิจเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลมีความครบถ้วน ถูกต้อง และเชื่อถือได้ “

 
 

ดังนั้นความละเอียดซับซ้อนของโปรแกรมบัญชี จึงเป็นไปตามความละเอียดและซับซ้อนของธุรกิจ กล่าวคือ ถ้าธุรกิจเพิ่งเริ่มต้น ไม่มีความซับซ้อนอะไรสักเท่าไหร่ อาจจะไม่ต้องใช้โปรแกรมบัญชีเลยก็ได้ ใช้แค่เอกสารทำมือ หรือจะใช้ Excel ก็ได้ แต่พอทันที ที่ธุรกิจเริ่มซับซ้อนขึ้น มีข้อมูลมากขึ้นการทำมือ หรือ คุมด้วย Excel ก็อาจจะไม่พอจึงเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโดยมากที่หันมาใช้โปรแกรมบัญชีกัน

 
 

แล้วจะรู้ได้ยังไงครับว่า ธุรกิจนั้นถึงเวลาที่จะใช้โปรแกรมบัญชี กันแล้วหรือยัง??

 

โดยธรรมชาติแล้ว ตอนเริ่มต้นธุรกิจ ผู้ประกอบการจะไม่ค่อยสนใจหรอกครับว่า บัญชีจะเป็นยังไง คือจะสนใจแต่ว่าจะขายได้ไหม จะมียอดขายจากที่ไหน ส่วนบัญชีค่อยว่ากัน ดังนั้นตอนแรกๆ ของธุรกิจจะดูยุ่งๆเหยิงหน่อย แต่เมื่อธุรกิจผ่านไปถึงปีที่ 2 ปีที่3 เริ่มมีทุนจะเริ่มหันกลับมาดูบัญชีภายในของธุรกิจเราเองว่า จริงๆแล้วที่มีเงินสดหมุนเวียนนี่มีกำไรที่แท้ทรูเท่าไหร่กันแน่ ตอนนี้ผู้ประกอบการก็จะเริ่มต้นหาโปรแกรมบัญชีที่ตอบสนองธุรกิจของเขา

 
 
 

แต่ในตลาดนี่โปรแกรมบัญชีก็มีเยอะไปหมด แล้วเราจะเลือกยังไงดี

 

ก่อนอื่นต้องมาดูก่อนว่า โปรแกรมบัญชี จะต้องมีคุณสมบัติขั้นต่ำอะไรบ้าง โดนปกติแล้วโปรแกรมบัญชีจะต้องมีคุณสมบัติตามนี้ครับ

 
  1. ด้านการ Setup ระบบ

  2. อย่างน้อยเลยต้องมีให้ Setup ดังนี้

  3. รหัสพื้นฐานเช่นพวกรหัสบัญชี รหัสสินค้า รหัสลูกหนี้ รหัสเจ้าหนี้

  4. รหัสJob งาน รหัสการบริการต่างๆ

  5. ด้านบันทึกบัญชีได้ (ถ้าลงไม่ได้ ก็ไม่ใช่โปรแกรมบัญชี)

  6. ลงบันทึกสมุดรายวันได้

  7. ลงบันทึกภาษีซื้อ ภาษีขาย ภาษีซื้อรอขอคืน ได้

  8. ลงบันทึก ภงด 1 3 53 หัก ณ ที่จ่าย ภพ 30 และ ประกันสังคมได้

  9. ออกรายงานแยกประเภท สมุดรายวัน งบกำไรขาดทุน กระดาษทำการ งบดุล วิเคราะห์งบการเงิน และ งบกระแสเงินสด ได้

  10. ด้านการซื้อ

  11. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  12. ใบขอซื้อ

  13. ใบสั่งซื้อ

  14. เอกสารรับสินค้า

  15. เอกสารตั้งหนี้

  16. เอกสารพวกงานซื้อประเภทต่างๆ เช่นซื้อในประเทศ ต่างประเทศ

  17. รายงานการซื้อ เช่นสรุปการสั่งซื้อ สรุปสินค้าจากการสั่งซื้อ

  18. ด้านการขาย

  19. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  20. ใบเสนอราคา

  21. ใบสั่งขาย

  22. ใบส่งของ/ใบกำกับภาษี

  23. ใบส่งของ/ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี

  24. เครดิตโน้ต

  25. เดบิตโน้ต

  26. รายงานเกี่ยวข้องกับการขาย

  27. ด้านการเงินรับ

  28. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  29. ใบวางบิล

  30. ใบเสร็จรับเงิน

  31. ใบสำคัญรับชำระ

  32. รายงานที่เกี่ยวข้องกับการรับชำระ และ พวกรายงานลูกหนี้ต่างๆ

  33. ด้านการเงินจ่าย

  34. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  35. การรับวางบิล

  36. ใบสำคัญจ่ายชำระ

  37. พวกเอกสารเงินสดย่อย

  38. พวกเอกสารการตั้งหนี้ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ

  39. รายงานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายชำระ และพวกรายงานเจ้าหนี้ต่างๆ

  40. ด้านธนาคาร

  41. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  42. ปรับปรุงธนาคาร

  43. ดู Bank Statement

  44. บันทึกการรับจ่ายเช็ค การเข้าเช็ค การ Reconcile Cheque

  45. รายงานที่เกี่ยวข้องกับพวกความเคลื่อนไหว และ ยอดเงินในธนาคาร ซึ่งต้องสอดคล้องกับยอดบัญชีด้วยเช่นกัน

  46. ด้านสต๊อกสินค้า

  47. ออกเอกสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างน้อย

  48. พวกเอกสารรับจ่าย ใบรับ ใบเบิกสินค้า ตรวจนับสต๊อก ปรับยอดสินค้า และอื่นๆ

  49. ในโรงงานก็ควรมีพวกเอกสารสำหรับการผลิต

  50. รายงานที่เกี่ยวข้องกับการรับจ่ายและจำนวนคงเหลือ พร้อมทั้งต้นทุนสินค้าในคลัง

  51. ระบบสต๊อกในปัจจุบันนี้ อย่างน้อย ต้องมีการคำนวณต้นทุนแบบ FIFO และ Moving Average นะครับ ถ้าไม่มีนี่ไร้ค่าเลย เราจะไม่ทราบแม้แต่ว่า ต้องกระจายสินค้าไหนออกบ้าง

  52. ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล

  53. พูดถึงโปรแกรมบัญชี ถ้ามีแต่เก็บเอกสารเก็บข้อมูล กับรายงานขั้นพื้นฐานแต่ไม่มีการวิเคราะห์ นี่มันก็ไร้ค่ายังไงไม่รู้ เพราะหัวใจของการเอาโปรแกรมบัญชีมาใช้งานก็เพื่อวิเคราะห์สถานะต่างๆของกิจการนี่เอง

  54. ด้านอื่นๆ เช่นด้านการคำนวณค่าเสื่อม สินทรัพย์ ด้านเงินเดือนประกันสังคมเป็นต้น

 
 
 
 
 

คราวนี้พอเราทราบความต้องการขั้นต่ำของโปรแกรมบัญชีที่ใช้ในกิจการแล้ว เราก็ต้องมาดูต่อว่า แล้วธุรกิจเราต้องการแค่ไหน ต้องการแค่นี้ก็พอแล้ว หรือ ต้องมากกว่านี้อีกเช่น ธุรกิจเรามีการ pack สินค้าหรือ จัดชุดไปขายตามช่วงเทศกาล ธุรกิจเรามีการสั่งผลิตสินค้าเพื่อขาย ธุรกิจเราไม่ผลิตเลย แต่ไปจ้าง Supplier มาทำให้ หรือธุรกิจเราไม่มีสินค้าเลย มีแต่แค่บริการอย่างเดียวก็ต้องดูว่าจะควบคุมอะไรบ้าง เป็นต้น ธุรกิจเราปกติแล้วมีการเบิกงานไปใช้ล่วงหน้าแล้วค่อยมาเคลียร์กันหรือเปล่า หรือสินค้าของธุรกิจเรามันพิเศษเช่นมี Serial No มี วันหมดอายุ มี Lot อะไรประมาณนี้หรือไม่ ซึ่ง ถ้าเรามีความต้องการเหล่านี้ นั่นแสดงว่า โปรแกรมบัญชีที่ตอบแค่ความต้องการขั้นพื้นฐานไม่พอเสียแล้ว

 

เราจะต้องเลือกใหม่ ที่มี ฟังก์ชั่นสูงมากขึ้นๆ แต่แน่นอนว่ายิ่งสูงมากราคาก็ยิ่งแพง ถ้ายิ่งไปถึงระดับ ERP ราคายิ่งเป็นหลักล้าน ดังนั้น ในภาคธุรกิจที่ไม่ได้มีทุนทางด้านระบบสูงขนาดนั้น จึงจำเป็นต้อง ยอมปรับตัวให้เข้ากับระบบส่วนนึง เพื่อให้ใช้ระบบที่ไม่ต้องถึงขั้น ERP ให้ได้

 

ในปัจจุบันเมื่อโลกมาถึงยุค Cloud โปรแกรมบัญชี ก็ได้ปรับตัวให้ขึ้น Cloud เช่นกัน โดยเริ่มแรกในตลาดจะเป็นโปรแกรม straccountonline เกิดมาตั้งแต่ 10 ปีทีแล้ว แต่เข้าใจว่า internet ยุคนั้นช้า บวกกับความไม่เชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัยบน internet โปรแกรมจึงไม่ได้เป็นที่กล่าวขวัญมากมาย ถัดมาโปรแกรม straccountonline ได้พัฒนา Version ใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อ ACCCLOUD ERP ซึ่งเป็น ระบบที่มีฟังก์ชั่นสูงกว่าตัวเดิมมาก ภายใต้เทคโนโลยีใหม่ โดยโปรแกรมเน้นไปทางด้านการผลิตมากขึ้น

 

Education Template

Scroll to Top