Acccloud โปรแกรมบัญชี

อยากเปิดธุรกิจของตัวเอง ต้องรู้จักภาษีอะไรบ้าง ?

การดำเนินธุรกิจของตัวเอง ไม่เพียงแค่เรื่องของการผลิตหรือการขายสินค้าและบริการเท่านั้น ยังต้องพิจารณาถึงเรื่องทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงภาษีที่คนทำธุรกิจต้องทำความรู้จักเพื่อประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของตนเอง

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (บุคคลธรรมดา)

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีที่คนที่มีรายได้จากการทำงานหรือกิจการต่างๆ ต้องชำระตามร้อยละของรายได้ที่ได้รับ เป็นเงินได้ที่สะสมมาจากเงินเดือน ค่าจ้างทำงานอิสระ รายได้จากการลงทุน และกิจกรรมอื่นๆ ภาษีนี้มีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามระดับรายได้ คำนวณและส่งเสียตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้รัฐมีเงินทุนในการดำเนินงานสาธารณะต่างๆ

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

VAT เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการขายสินค้าและบริการ แต่จะถูกนำไปเก็บจากกลุ่มธุรกิจในระหว่างกระบวนการผลิตและกระบวนการจำหน่าย หรือกระบวนการส่งเสริมการขาย การคิดคำนวณภาษี VAT จะอิงตามราคาขายของสินค้าหรือบริการ และส่งเสียให้รัฐเป็นจำนวนเงินที่ได้รับจากผู้บริโภค

3. ภาษีนิติบุคคล

ภาษีนิติบุคคลเป็นภาษีที่บริษัทหรือนิติบุคคลต้องชำระจากกำไรที่ได้รับจากกิจการของตน อัตราภาษีนิติบุคคลจะแตกต่างกันไปตามกฎหมายและรัฐบาลของแต่ละประเทศ การวางแผนเรื่องภาษีนิติบุคคลจำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถจัดการกำไรให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุด

4. ภาษีธุรกิจเฉพาะอื่นๆ

นอกจากภาษีที่กล่าวมานี้แล้ว ยังมีภาษีธุรกิจเฉพาะอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อธุรกิจ เช่น ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีป้าย ภาษีสรรพสิ่ง และอื่น ๆ ที่อาจมีการบังคับใช้ในระหว่างการดำเนินกิจการธุรกิจนั้น ๆ

ตัวอย่างกิจการธุรกิจ ที่ต้องเสียภาษี

  • ร้านค้าปลีก
  • บริษัทที่จดทะเบียน
  • ธุรกิจอิสระ
  • ธุรกิจออนไลน์
  • ผู้ประกอบการวิชาชีพ
  • โรงงาน
  • กิจการร้านอาหาร
  • ฟรีแลนซ์

การทำธุรกิจไม่เพียงแค่ความสามารถในการผลิตหรือการบริการเท่านั้น การทราบและเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนควรทำความรู้จัก การวางแผนเรื่องภาษีให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืนอย่างเป็นระบบ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีก่อนการดำเนินการก็เป็นสิ่งที่แนะนำอีกอย่างหนึ่งเพื่อประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต

ในยุคที่เทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงในสภาวะการเงิน เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารธุรกิจ การใช้งานโปรแกรมบัญชีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) และธุรกิจขนาดใหญ่ตามท้องถิ่น โดยที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบัญชีช่วยให้การจัดการทางการเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องยิ่งขึ้น

การใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP

โปรแกรมบัญชี ERP (Enterprise Resource Planning) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการบริหารจัดการทั้งหมดของธุรกิจ ไม่เพียงแค่ด้านการเงินและบัญชีเท่านั้น แต่รวมถึงด้านอื่น ๆ ทั้งการผลิต การจัดซื้อ การขาย การจัดการคลังสินค้า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และกระบวนการทางธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย

ระบบ ERP ช่วยในการผสานการทำงานของระบบต่าง ๆ ในองค์กร เพื่อให้ข้อมูลและกระบวนการทำงานสามารถประสานกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยประสิทธิภาพในการใช้งาน ERP มาจากการใช้ข้อมูลที่เหมือนกันในระบบเดียวกัน ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลที่ถูกต้องและมีความเชื่อถือได้นั่นเอง

ฟังก์ชันหลัก ๆ ของโปรแกรมบัญชี ERP

  • การบริหารงานการเงินและบัญชี: ช่วยในการบันทึกรายรับรายจ่าย, การจัดการสมุดบัญชี, การสร้างงบการเงิน, การคำนวณภาษี, และรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
  • การจัดการคลังสินค้า: ช่วยในการติดตามสินค้าในคลัง, การจัดการออร์เดอร์, การจัดส่งสินค้า และการจัดการระบบคลังสินค้าเพื่อให้สามารถรับ-ส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การจัดการโครงการ: ช่วยในการวางแผนและติดตามการดำเนินงานของโครงการ รวมถึงการจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้น
  • การจัดการการผลิต: ช่วยในการวางแผนการผลิต, การติดตามกระบวนการผลิต, การจัดการการสั่งซื้อวัตถุดิบ, การวางแผนการใช้วัตถุดิบ และการจัดการสินค้าสำเร็จรูป
  • การบริหารทรัพยากรมนุษย์: ช่วยในการบันทึกข้อมูลพนักงาน, การจัดการเวลาทำงาน, การคำนวณเงินเดือน, การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ และการจัดการกับข้อมูลความรู้ของพนักงาน

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต ิยังคงมีความสำคัญและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่ส่งผลให้ธุรกิจนั้น ๆ มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งภายในและภายนอก ดังนี้

1. การบริหารจัดการทั้งหมด

โปรแกรมบัญชี ERP จะเป็นศูนย์กลางที่รวมการบริหารจัดการทั้งหมดของธุรกิจ เช่น การเงิน การผลิต การขาย คลังสินค้า ทรัพยากรมนุษย์ และกระบวนการทางธุรกิจอื่น ๆ ที่ส่งผลให้การเชื่อมโยงข้อมูลและกระบวนการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ความสามารถในการปรับแต่ง

โปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต จะมีความสามารถในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับธุรกิจและองค์กรแต่ละแห่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกระบวนการทำงานและรายละเอียดที่เป็นพิเศษให้เหมาะสมกับความต้องการของตน

3. การใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม

การพัฒนาทางเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างระบบคลาวด์ (Cloud) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบเข้ารหัส (Encryption) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) จะทำให้โปรแกรมบัญชี ERP มีความสามารถในการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและประสิทธิภาพสูงขึ้น

4. ความเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT

อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่เชื่อมต่อกับโปรแกรมบัญชี ERP สามารถให้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการผลิต คลังสินค้า การขาย และกระบวนการธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถนำมาวิเคราะห์และใช้ในการตัดสินใจได้

5. ระบบการชำระเงินและการเงินดิจิทัล

โปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคตอาจมีการรวมระบบการชำระเงินและการเงินดิจิทัลเข้ากับระบบ ช่วยในการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์และการจัดการการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

6. การปรับใช้ตามกฎหมายและข้อกำหนด

โปรแกรมบัญชี ERP จะต้องสามารถปรับใช้เพื่อตรงกับข้อกำหนดทางกฎหมายและข้อกำหนดทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงได้ เช่น การปฏิบัติตามข้อกำหนดภาษี การบัญชีที่ตรงตาม GAAP และอื่น ๆ

7. การทำงานร่วมกับอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง

ส่วนใหญ่แล้ว, การทำงานร่วมกับเครือข่ายแห่งสรรพสิ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งปันข้อมูลกับคู่ค้า ผู้จัดการ ลูกค้า และอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคตจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ทั้งอยู่ในองค์กรและเชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ โดยที่ยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับแผนกและกระบวนการทางธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดที่สุด

ประโยชน์ของโปรแกรมบัญชีในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (Small and Medium-sized Enterprises หรือ SMEs) คือธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและไม่ใช่บริษัทใหญ่หรือองค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจประเภทนี้มักมีลักษณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับประเทศและส่วนกฎหมาย ซึ่งอาจจะกำหนดความเป็น SMEs ตามผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ธุรกิจ จำนวนพนักงาน รายได้ประจำปี หรือตัวชี้วัดอื่น ๆ ตามท้องถิ่น

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง หมายถึงอะไร

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) หมายถึงกลุ่มของธุรกิจที่มีขนาดเล็กถึงกลางตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ธุรกิจในกลุ่มนี้มักมีลักษณะการดำเนินงานที่เป็นตัวของเจ้าของธุรกิจ มีจำนวนพนักงานน้อยกว่าบริษัทใหญ่ และมักมีทางเลือกในการจัดการและตัดสินใจที่รวดเร็วมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว มีการกำหนดข้อกำหนดเพื่อจำแนกธุรกิจขนาดเล็กและกลางตามตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น จำนวนพนักงาน, ยอดขายประจำปี, สินทรัพย์รวม, และอื่น ๆ ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือเขตภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น การจำแนก SMEs อาจยังคำนึงถึงลักษณะด้านการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจตามกลุ่มอุตสาหกรรม หรือลักษณะพิเศษอื่น ๆ ที่กำหนดโดยหน่วยงานหรือกฎหมายในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กและกลาง มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทในการสร้างงานและรายได้ ส่งเสริมนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ และมีส่วนในการกระจายความเจริญรุ่งเรืองในระดับพื้นที่นานาชาติอีกด้วย

ประโยชน์ของโปรแกรมบัญชีใน SMEs

  • ความแม่นยำและความถูกต้องในการบันทึกข้อมูล: โปรแกรมบัญชีช่วยในการบันทึกข้อมูลการเงินอย่างถูกต้องและมีความแม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากข้อผิดพลาดในกระบวนการบัญชีและการเงิน
  • รายงานทางการเงิน: โปรแกรมบัญชีช่วยในการสร้างรายงานการเงินที่สำคัญ เช่น งบการเงิน, งบทดลอง, รายงานภาษี เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจและวางแผนธุรกิจ รวมถึงวิเคราะห์และปรับแผนการเงินเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
  • การประหยัดเวลาและทรัพยากร: ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการบัญชีและการเงิน ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรที่จะเสียไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจ
  • การปฏิบัติตามกฎหมายและภาษี: โปรแกรมบัญชีช่วยในการคำนวณภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงิน ช่วยในการป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
  • การวิเคราะห์ผลกระทบของการตัดสินใจทางการเงิน: โปรแกรมบัญชีช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบของการตัดสินใจต่าง ๆ ทางการเงินต่อธุรกิจ ช่วยให้ SMEs สามารถวางแผนเติบโตและการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การบริหารจัดการธุรกิจ: ช่วยในการวิเคราะห์สถานะการเงินของธุรกิจ ช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและเติบโตในอนาคตได้

ดังนั้น โปรแกรมบัญชีในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง หรือ SMEs เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจในหลายประเทศ เนื่องจากมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างงานและสร้างรายได้ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ในสังคมธุรกิจ. การใช้เทคโนโลยีและการบริหารแบบเป็นระบบจะช่วยให้ SMEs สามารถเติบโตและเหนือกว่าคู่แข่งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องน่ารู้นักธุรกิจ 6 วิธีลดหย่อนภาษีนิติบุคคล ภาษีบริษัท

การเริ่มต้นธุรกิจต้องเริ่มจากการเสียภาษี เพื่อให้เรามีสิทธิ์เป็นเจ้าของธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้อง และเริ่มต้นธุรกิจอย่างเป็นธรรมในสังคม การจัดการภาษีเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการทำธุรกิจ เพื่อทำให้ธุรกิจมีกำไรสูงสุดและเติบโตอย่างยั่งยืน ความรู้และความเข้าใจในเรื่องภาษีช่วยให้เรามีวิธีการจัดการกับภาษีให้เหมาะสมและลดหย่อมภาระในการเสียภาษีนั่นเอง

การยื่นภาษี SMEs คืออะไร

การยื่นภาษีสำหรับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (Small and Medium-sized Enterprises – SMEs) เป็นกระบวนการที่สำคัญและต้องทำอย่างถูกต้องเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายภาษีและลดความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ขั้นตอนในการยื่นภาษี SMEs ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และกฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศที่ธุรกิจกำลังดำเนินการ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถมีความน่าเชื่อถือและน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนและลูกค้า ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับขั้นตอนและข้อกำหนดในการยื่นภาษีในประเทศให้ได้มากที่สุด

6 วิธีการลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคล

สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีสำหรับนิติบุคคลมีหลากหลายแบบและมีความแตกต่างไปตามกฎหมายภาษีและนิติบุคคลในแต่ละประเทศ เช่น

1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจสำหรับนิติบุคคลคือค่าใช้จ่ายที่นิติบุคคลต้องจ่ายเพื่อให้ธุรกิจดำเนินการอย่างปกติและสร้างรายได้ให้กับองค์กร ซึ่งอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าหรือบริการ ค่าเช่าพื้นที่ธุรกิจ ค่าจ้างพนักงาน และค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและตลาดสินค้า การหักค่าใช้จ่ายออกมาจากรายได้ในการคำนวณภาษีจะทำให้นิติบุคคลต้องชำระภาษีน้อยลง เนื่องจากภาษีคำนวณจากยอดกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ซึ่งอย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนภาษีอาจมีข้อจำกัดและเงื่อนไขตามกฎหมายภาษีของแต่ละประเทศ

2. ค่าเสื่อมสภาพ

สินทรัพย์ทางธุรกิจที่มีอายุการใช้งานยาวนานอาจถูกต้องลดหย่อนภาษีเนื่องจากค่าเสื่อมราคา การลดหย่อนนี้สามารถให้กับสินทรัพย์ทางธุรกิจเช่นอาคาร รถยนต์ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในธุรกิจ สำหรับนิติบุคคลเป็นกระบวนการลดมูลค่าของสินทรัพย์ในธุรกิจตามอายุการใช้งานของสินทรัพย์นั้น ๆ หรือตามอายุการใช้งานที่กำหนดโดยกฎหมายภาษี ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญในการหักลดหย่อนภาษีในนิติบุคคล ค่าเสื่อมราคามีวัตถุประสงค์เพื่อให้นำเสนอการสูญเสียมูลค่าของสินทรัพย์ในเวลาที่เป็นความจริง และช่วยให้บริษัทหรือนิติบุคคลมีความสมเหตุสมผลในการคำนวณภาษีอากร

  • ตัวอย่างการคำนวณค่าเสื่อมสภาพ: ถ้านิติบุคคลซื้อรถยนต์ใหม่ในมูลค่า 1,000,000 บาทและมีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปี ค่าเสื่อมราคาสำหรับรถยนต์นี้อาจถูกคำนวณว่า 1,000,000 / 5 = 200,000 บาทต่อปี ดังนั้นในแต่ละปีนิติบุคคลสามารถหักลดหย่อนภาษีที่ต้องชำระลงจากกำไรสุทธิตามจำนวนค่าเสื่อมราคานี้

3. การลงทุนในโครงการพัฒนา

การลงทุนในโครงการพัฒนาสำหรับนิติบุคคลเป็นกระบวนการที่นิติบุคคลลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการหรือโครงการในสาขาต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ สร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ และขยายธุรกิจใหม่โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในโครงการพัฒนานี้อาจเป็นการสร้างอาคารสำหรับใช้งาน การพัฒนาและสร้างอุตสาหกรรม การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาดใหม่ หรือการลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูง จึงมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อการเติบโตและกำไรขององค์กรได้โดยตรง นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่นิติบุคคลสามารถขยายธุรกิจในกลุ่มกิจการใหม่หรือตลาดใหม่ได้ นอกจากนี้การลงทุนในโครงการพัฒนายังส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีในองค์กร ช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับองค์กร และช่วยเพิ่มมูลค่าส่วนที่อยู่ในตลาดของนิติบุคคล ในบางกรณี การลงทุนในโครงการพัฒนาหรือโครงการส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานรัฐบาลอาจได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี

4. การจ้างงานสำหรับผู้สูงอายุ

การจ้างงานผู้สูงอายุสำหรับนิติบุคคลเป็นกระบวนการที่นิติบุคคลจ้างผู้สูงอายุมาทำงานในองค์กรหรือธุรกิจของตน เป็นทั้งการจ้างงานแบบประจำหรือการจ้างงานแบบชั่วคราว การจ้างงานผู้สูงอายุสามารถสร้างความหลากหลายและความเสมอภาคในองค์กร และเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้กับนิติบุคคลได้ ดังนั้นการจ้างงานผู้สูงอายุควรพิจารณาความสามารถและความเหมาะสมของผู้สูงอายุกับงานที่ต้องการ การให้โอกาสและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ และการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการทำงานที่มีความสุขและความสำเร็จในองค์กร

5. สิทธิประโยชน์ในการลงทุนในวิสาหกิจสามัญ

การลงทุนในวิสาหกิจสามัญสำหรับนิติบุคคลมีสิทธิประโยชน์มากมายที่สามารถเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าและเพิ่มมูลค่าให้กับนิติบุคคลได้ นี่คือสิทธิประโยชน์หลักๆ ของการลงทุนในวิสาหกิจสามัญสำหรับนิติบุคคล เช่น การทำกำไร: การลงทุนในวิสาหกิจสามัญเป็นโอกาสในการทำกำไรสูงขึ้นสำหรับนิติบุคคล เนื่องจากวิสาหกิจสามัญมีศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น ความเจริญเติบโตของธุรกิจ ควบคุมการเสี่ยง ส่งเสริมนวัตกรรม ส่วนแบ่งผลประโยชน์ ส่งเสริมภาพลักษณ์และสัญชาติตรา ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการศึกษาและการวางแผนก่อนการลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงในการลงทุนในวิสาหกิจสามัญ แนะนำให้นิติบุคคลปรึกษาที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อให้เกิดผลการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับองค์กร ในบางกรณี การลงทุนในวิสาหกิจสามัญที่ได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานรัฐบาลอาจได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี

6. การทำประกันชีวิตสำหรับนิติบุคคล

เป็นกระบวนการที่นิติบุคคลทำการซื้อประกันชีวิตเพื่อปกป้องความเสี่ยงในกรณีที่มีเหตุขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นกับคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ในองค์กรหรือสำหรับพนักงานที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การทำประกันชีวิตสามารถให้ความคุ้มครองในกรณีที่ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนเสียชีวิต หรือป่วยเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจหรือองค์กรในลักษณะต่าง ๆ เช่น การปกป้องความเสี่ยง การบำรุงความเชื่อถือในองค์กร การเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร การสร้างสัญญาณภาพ การดูแลสวัสดิการและพนักงาน ดังนั้นการทำประกันชีวิตจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนการเงินให้กับนิติบุคคล โดยสามารถปรับเปลี่ยนแผนการเงินให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพความเสี่ยงขององค์กรได้

อย่างไรก็ตาม การลดหย่อมภาษีนิติบุคคลหรือภาษีบริษัทเป็นกระบวนการที่นิติบุคคลมีโอกาสลดจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียในการดำเนินธุรกิจหรือกิจกรรมต่าง ๆ โดยใช้กฎหมายและมาตรการทางภาษีต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำได้ตามกฎหมายที่มีในแต่ละประเทศ ดังนั้น จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีที่มีในแต่ละประเทศและควรปรึกษาเรื่องภาษีกับที่ปรึกษาทางการเงินและนักกฎหมายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการลดหย่อมภาษีสำหรับนิติบุคคล

8 รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี รู้ก่อนเสียเงินฟรี

ภาษีเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเกิดรายได้ของรัฐบาลและมีบทบาทในการส่งเสริมความเสมอภาคในสังคม แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางรายจ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราที่ไม่ต้องมีการเสียภาษีใดๆ นอกจากนี้ยังมีบางรายจ่ายที่ต้องทำการเสียภาษีเรียกว่าหนีไม่ได้เลยอย่างการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็คงจะหนีไม่พ้นสิทธิที่บริษัทเสียภาษีบนฐานของผลกำไรของบริษัท ในบทความนี้ เราจะมาพิจารณา 8 รายจ่ายที่ต้องห้ามทางภาษีในประเทศไทย ห้ามนำไปคิดคำนวณเป็นรายจ่ายตอนเสียภาษีเด็ดขาด เพราะผิดกฎหมาย มีหลักๆ ดังนี้

1.เงินช่วยเหลือหรือเงินสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล

เงินช่วยเหลือหรือเงินสนับสนุนที่ได้รับจากหน่วยงานรัฐบาลในกรณีเหตุฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอาจไม่ต้องเสียภาษี

2.รายได้จากการทำกิจการธุรกิจที่ได้รับยกเว้นภาษี

บางธุรกิจและกิจการอาจได้รับยกเว้นภาษีในบางกรณี อย่างเช่น การลงทุนในธุรกิจของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (BOI) หรือธุรกิจที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐบาล

3.รายได้จากการซื้อขายทองคำ

รายได้ที่ได้รับจากการซื้อขายทองคำในรูปของทองคำชนิดต่างๆ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีซึ่งกำหนดโดยกฎหมาย

4.รายได้จากการรับของขวัญและบริจาค

เงินที่ได้รับจากการรับของขวัญและบริจาคที่อยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดสามารถรับได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

5.เงินเดือนและค่าจ้าง

เงินเดือนและค่าจ้างที่ได้รับจากการทำงานที่มีเงื่อนไขตามกฎหมาย ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากภาษีได้ถูกหักก่อนการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง

6.การรับประโยชน์ทางสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นๆ

การรับสวัสดิการเช่น ค่าคลอดบุตร ค่าทำฟัน สวัสดิการเงินบำนาญ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากหน่วยงานรัฐบาลในบางกรณีอาจไม่ต้องเสียภาษี

7.เงินรางวัลที่ได้รับในการแข่งขัน

เงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันต่างๆ เช่น กีฬา ศิลปะ การแสดง และกิจกรรมอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลไม่ต้องเสียภาษี

8.เงินออมในบัญชีออมทรัพย์

เงินที่อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดในธนาคารมีการยกเว้นภาษีเมื่อถอนเงินเป็นครั้งแรกไม่เกิน ฿500,000 ต่อปีภาษี สำหรับบัญชีที่อยู่ค้างไว้เกิน 7 ปีและออกให้กับคนที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ยกเว้นการเสียภาษีอากรที่แน่นอนในทุกกรณี

ในการจัดการเงินและการวางแผนการเสียภาษี ควรให้ความสำคัญในการตรวจสอบรายจ่ายให้ดีว่ามาจากส่วนไหนบ้่างแยกเป็นหมวดหมู่อย่างละเอียด อย่านำมาปะปนกันเพื่อการวางแผนการเงินระยะยาว ของเราในอนาคต ต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมายทางภาษีอาจมาจากการที่เราทำข้อมูลรายการการเสียภาษีผิดพลาด สามารถส่งผลให้ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม และอาจถูกเสียค่าปรับและโทษทางภาษีจากเจ้าหน้าที่หรืออาจเสียภาษีโดยไม่ได้รับการยกเว้น ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีและการเสียภาษีให้ละเอียดก่อนดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินในทุกครั้ง 

ส่วนใครที่เริ่มเสียภาษีครั้งแรก ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน สามารถตรวจสอบข้อมูลภาษี ที่เว็บ https://www.rd.go.th/272.html กรมสรรพากรได้เลย 

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี AccCloud ที่กลุ่มธุรกิจ ห้ามพลาด! ช่วยจัดการระบบบัญชี ให้ธุรกิจทำงานง่ายขึ้น!

การทำธุรกิจใครว่าเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะเรื่องของการทำบัญชีที่ต้องเน้นการไปที่ความแม่นยำของข้อมูล สำหรับการทำธุรกิจที่มีช่องทางการขาย หลากหลาย ต้อวขายผ่านออนไลน์ จัดสต๊อกหน้าร้าน เครียร์ออเดอร์ ที่มีการสั่งเข้ามาตลอดทั้งวัน เลยทำให้การทำงานเกี่ยวกับบัญชีค่อนข้างจะยุงยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อเครียร์บัญชีในแต่ละวัน สำหรับการวางแผน หรือส่งสรรพกรยื่นเรื่องภาษี

 ทุกวันนี้เลยมีการออกแบบโปแกรมบัญชีแบบ ERP ขึ้นมา ที่ทำหน้าที่มากกว่า โปรแกรมบัญชีแบบเก่า สามารถเชื่อต่อการทำงานได้หลายแห่งพน้อมกัน รวบรวมข้อมูลและจัดเอกสารออกมาให้เป็นระเบียบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องวุ่นวายเอกสารเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง 

โปรแกรมบัญชี ERP AccCloud ช่วยจัดการ ?

  • ระบบบริหารการผลิต
  • ระบบงานก่อสร้าง
  • ระบบการซื้อ
  • ระบบการขาย
  • ระบบบัญชี
  • ระบบคลังสินค้า
  • ระบบการเงิน
  • ระบบภาษี

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี ERP AccCloud สำหรับธุรกิจออนไลน์

ด้วยความสามารถเชื่อมต่อ  API Lazada ,Shoppee ,Tiktok แลพ Line ได้ในที่เดียว ทำงานง่ายขึ้น เช็คสต๊อก รายรับรายจ่าย ได้ในจุดเดียว เหมะสำหรับธุรกิจทุกขนาด 

1. ระบบสามารถเชื่อมโยงยอดขายจาก Lazada, shoppee, line และ Tiktok ได้แบบ RealTime

2. ระบบสามารถปรับปรุงยอดสินค้าจากโปรแกรมบัญชี AccCloud ไปยัง Platform Ecommerce เช่น   Lazada, shoppee, line และ Tiktok ได้แบบ RealTime ได้

3. ระบบสามารถเพิ่มร้านค้าได้ไม่จำกัดร้านค้าที่ผูกมาจาก Platform ไปยัง AccCloud

4. ระบบสามารถสรุปยอด Order ได้ไม่จำกัด แล้วส่ง order เหล่านั้นเข้ามาเป็นยอดขายใน AccCloud เพื่อเปิดบิล และ ลง บช ได้

5. ระบบสามารถติดตามสถานการณ์ดำเนินการเช่นขนส่ง จัดเตรียม ดำเนินการสำเร็จจากโปรแกรม AccCloud ERP ได้

6. ระบบสามารถคำนวณยอดสต๊อกเพื่อสั่งซื้อมาจัดจำหน่ายได้ หรือ คำนวณยอดสต๊อกเพื่อสั่งผลิตมาขายได้

7. เนื่องจากระบบเชื่อมโยงกับ Ecommerce  ดังนั้นข้อมูล ทางบัญชีจึงสามารถรวมยอดทั้ง OffLine + Online ได้ทันทีตลอดเวลา8. และสามารถดูงบการเงิน งบกำไรขาดทุน และ สินค้าคงเหลือได้แบบ Real Time

เนื่องจากสามารถทุนแรงใมการทำงานได้ค่อนข้างมากในองค์กร เลยทำให้นักธุรกิจหลายรายเริ่มหันมาสนใจโปรแกรมบัญชี ERP มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ  การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลตัวโปแกรมก็ทำงานออกมาได้ดี โดยที่ไม่ต้องเข้าไปตรวจงานด้วยตัวเองถึงหน้างาน แถมยังสามารถ รับรู้สถานการณ์และปัญหาของงานต่างๆ ได้ทันที ทำให้สามารถตัดสินใจดำเนินธุรกิจ หรือแก้ปัญหาภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาาพ 

ส่วนใครที่กำลังมองหาบริษัทที่น่าเชื่อถือในการติดตั้งระบบโปรแกรมบัญชี ERP ที่มีความน่าเชื่อถือ มีการดูแลหลังการขายตลอดอายุสัญญา หรือหลังจากหมดสัญญาไปแล้ว สามารถติดต่อเรา บริษัท แอคคลาวด์ จำกัด  หรือจะเข้ามาปรึกษาได้ที่ 10-11 ถนน ลูกหลวง แขวง ดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม? สามารถจดได้ตอนไหน?

ระบบภาษีในประเทศไทย มีผลต่อธุรกิจทุกอย่างเป็นจำนวนมากธุรกิจที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจข้อกำหนดในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับด้านภาษี เราจะพามาเจาะลึกถึงรายละเอียดว่าธุรกิจแบบใดบ้าง ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ข้อมูลเชิงลึกว่าเมื่อใดที่ควรจดบันทึกขั้นตอนการจดทะเบียน

ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ธุรกิจที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยทั่วไปธุรกิจที่มีหน้าที่ต้องลงทะเบียน คือ

  • ธุรกิจที่มีรายรับหรือรายได้จากการขายสินค้า หรือบริการเป็นยอดจำนวนเงินมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
  • ธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ ที่พิสูจน์ได้ว่ามีการดำเนินงาน และเตรียมการประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้า หรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน หรือก่อสร้างอาคารสำนักงาน 
  • ธุรกิจที่อยู่นอกราชอาณาจักรและได้ขายสินค้าอยู่ภายในราชอาณาจักร โดยมีตัวแทนอยู่ภายในราชอาณาจักร ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน

ต้องเริ่มจดภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่

การติดตามปริมาณการขายของธุรกิจเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญ ที่ต้องใช้ประกอบในการพิจารณาว่าเมื่อใดจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นี่คือเหตุผลสำคัญที่ควรพิจารณา

ตรวจสอบยอดขาย

หมั่นตรวจสอบรายได้ของธุรกิจเป็นประจำ เพื่อประเมินว่าใกล้ถึงหรือเกินเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มรึยัง 

ติดตามการคาดการณ์ในอนาคต

ถ้าคุณคาดว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตและผ่านเกณฑ์การจดทะเบียน VAT ในอนาคต เราขอแนะนำให้เริ่มกระบวนการลงทะเบียนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และตามเวลา

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

ถ้าคุณไม่แน่ใจ เกี่ยวกับข้อกำหนดในการจดทะเบียนหรือต้องการความช่วยเหลือในการปรึกษา คาดการณ์ว่าควรจดทะเบียนเมื่อใด แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรในประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ

ระยะเวลาในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องทำการยื่นขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน เริ่มนับจากวันที่ธุรกิจของคุณผ่านเกณฑ์หรือทราบว่าจะเกินเกณฑ์

การทำความเข้าใจข้อกำหนดในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านภาษี เมื่อระบุว่าธุรกิจของคุณเป็นไปตามเกณฑ์ และขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรเพื่อจัดการกับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณอยากรู้

ถ้าคุณมีความกังวลในการทำเอกสารเกี่ยวกับภาษี
เราขอแนะนำ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะช่วยจัดการงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีได้รวดเร็วและถูกต้อง
สนใจเข้าใช้บริการโปรแกรมบัญชี AccCloud สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : acccloud.tech

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ภาษีครึ่งปีคืออะไร? ใครต้องจ่าย?

ภาษีครึ่งปี คือภาษีประเภทหนึ่งที่แบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดกลางปีและงวดปลายปี ภาษีประเภทนี้มักใช้สำหรับธุรกิจ แต่ก็สามารถใช้กับบุคคลธรรมดาได้เช่นกัน ในบางประเทศ ภาษีครึ่งปีเป็นข้อบังคับสำหรับทุกธุรกิจ ในขณะที่บางประเทศเป็นข้อบังคับสำหรับธุรกิจที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย ภาษีครึ่งปีมีผลบังคับใช้สำหรับทุกธุรกิจที่มีกำไรสุทธิมากกว่า 1 ล้านบาท

ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดา แต่ต้องการแบ่งจ่ายภาษีครึ่งปี จะสามารถทำได้แค่ในบางประเทศเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น ในอินเดีย บุคคลที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมากกว่า 5 แสนรูปีต้องจ่ายภาษีครึ่งปี

จำนวนภาษีครึ่งปีที่ชำระโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับกำไรหรือรายได้โดยประมาณสำหรับครึ่งปีแรก จำนวนภาษีที่ต้องชำระจริง อาจถูกปรับเปลี่ยนเมื่อสิ้นปี เป็นการจากรอบที่ 2 หรือรอบสุดท้ายของปี เมื่อทราบผลกำไรหรือรายได้แล้วนั้นเอง

ใครที่ต้องจ่าย ภาษีครึ่งปีบ้าง

โดยตามกฎหมายได้มีการกำหนดหน้าที่ให้ทั้งบุคคลและนิติบุคคลจ่ายภาษีล่วงหน้า ซึ่งถ้าถามว่าใครต้องจ่าย ก็ต้องตอบได้เลยว่า สามารถจ่ายภาีแบบครึ่งปีได้ทั้งคู่ แต่แค่มีเงื่อนไขที่จะต้องจ่ายแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเอง

จำนวนภาษีครึ่งปีที่ถึงกำหนดขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้เสียภาษีและอัตราภาษีที่ใช้ ในบางกรณี การชำระภาษีครึ่งปีอาจขึ้นอยู่กับรายได้รวมของผู้เสียภาษีประจำปีโดยประมาณ ในกรณีอื่น ๆ ผู้เสียภาษีอาจต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีตามรายได้จริงเพิ่มเติมกับสำนักงานอีกด้วย

ประโยชน์ของการชำระภาษีครึ่งปีประกอบด้วย:

  • สามารถช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถกระจายการชำระภาษีได้ตลอดทั้งปี
  • สามารถช่วยให้ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียภาษีก้อนใหญ่ในช่วงปลายปี
  • ช่วยให้ผู้เสียภาษีมีความยืดหยุ่นในการจัดการกระแสเงินสดมากขึ้น

ข้อเสียของการจ่ายภาษีครึ่งปี ได้แก่

  • การติดตามและจัดการการชำระภาษีสองรายการแยกกันอาจซับซ้อนกว่า
  • มีความเสี่ยงที่รายได้โดยประมาณของผู้เสียภาษีจะไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายภาษีเกินหรือจ่ายน้อยเกินไป

ภาษีครึ่งปีนั้นเหมาะสำหรับการกระจายภาระภาษีสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้แน่ใจว่าเราชำระภาษีตรงเวลา ไม่ผิดนัด

บางประเทศที่เรียกเก็บภาษีครึ่งปี:

  • ประเทศไทย
  • อินเดีย
  • มาเลเซีย
  • สิงคโปร์
  • อินโดนีเซีย

กฎเฉพาะสำหรับภาษีครึ่งปีจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบกับหน่วยงานด้านภาษีในประเทศของคุณเพื่อดูว่าคุณต้องจ่ายภาษีครึ่งปีหรือไม่และต้องจ่ายเท่าไร แน่นอนว่าหลายบริษัทเลือกที่จะจ้างนักบัญชีจ้างภายนอกเข้ามาดูแลเรื่องของภาษีที่ต้องนำส่งหน่วยข้าราชการมากกว่า การจ้างนัญบัญชีเข้ามาโดยเฉพาะแบบองค์กรใหญ่ เนื่องจากมองเห็นถึงความคุ้มค่าที่ดีกว่า แถมองค์กรขนาดเล็ก ไปจนถึงกลาง ไม่เหมาะสำหรับการจ้างนัญชีเข้ามานั้นเอง

โปรแกรมบัญชี ERP กับ โปรแกรมบัญชี ต่างกันตรงไหน

องค์กรธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาใช้โปรแกรมบัญชีกันมากขึ้น เพราะเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ธุรกิจติดตามและจัดการธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายและเลี่ยงโอกาสเกิดของข้อผิดพลาดได้ดี ปกติแล้วโปรแกรมบัญชีทั่วไปจะมีคุณสมบัติสำหรับการบันทึกรายงาน เช่น ใบแจ้งหนี้ ค่าใช้จ่าย และการชำระเงิน และจัดการสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อเตรียมยื่นเอกสารการคืนภาษีและจัดการบัญชีเงินเดือนได้ ซึ่งมีรูปแบบโปรแกรมบัญชีต่างๆ ให้เลือกมากมาย ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ แล้วถ้าเราอยากรู้ว่าโปรแกรมบัญชีไหนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจหรือองค์กรของเรา้องคำนึงถึงอะไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่

ความแตกต่างของโปรแกรมบัญชี  ERP และ โปรแกรมบัญชีทั่วไป

โปรแกรมบัญชีทั้งสองตัว  เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจ แต่มีวัตถุประสงค์และความสามารถที่แตกต่างกันออกไปค่อนข้างมาก หวังว่าหลังจากที่ได้อ่านบทความทุกคนจะสามารถเข้าใจถึความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวได้มากขึ้น 

โปรแกรมบัญชี ERP คือ

เป็นระบบที่ครอบคลุมมากขึ้นซึ่งรวมทุกด้านของการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง การผลิต การขาย และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) โดยทั่วไประบบบัญชี ERP จะใช้โดยธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการการดำเนินงานที่ซับซ้อน

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี ERP

  1. การเข้าถึงและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา: โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ERP สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เหมาะสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างทีมที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลและการทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็ว

  2. การอัพเดตและการบำรุงรักษาโปรแกรมอัตโนมัติ: โปรแกรมบัญชีออนไลน์มักมีการอัพเดตและการบำรุงรักษาโปรแกรมโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดูแลรักษาระบบเอง

  3. ความสะดวกสบายในการแชร์ข้อมูล: ช่วยให้ทีมงานสามารถแชร์ข้อมูลและทำงานร่วมกันได้สะดวกและรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องส่งไฟล์ไปมาผ่านทางอีเมลให้ยุ่งยาก

  4. ค่าใช้จ่ายไม่สูง: เพราะโปรแกรมบัญชีออนไลน์มีการเรียกเก็บค่าบริการในรูปแบบเป็นรายเดือนหรือรายปี ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของธุรกิจ

โปรแกรมบัญชีทั่วไป คือ

เป็นระบบพิเศษที่เน้นงานบัญชี เช่น การรายงานทางการเงิน บัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ และการกระทบยอดธนาคาร โดยทั่วไปแล้วซอฟต์แวร์บัญชีจะใช้โดยธุรกิจขนาดเล็กหรือแผนกภายในธุรกิจขนาดใหญ่นั่นเอง

ข้อดีของโปรแกรมบัญชีทั่วไป

  1. การทำงานแบบออฟไลน์ได้: โปรแกรมบัญชีทั่วไปสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หรือในสถานที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่คงที่

  2. ความปลอดภัยของข้อมูล: โปรแกรมบัญชีแบบออฟไลน์ เป็นการทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถควบคุมระดับความปลอดภัยของข้อมูลได้มากกว่าในระบบออนไลน์

  3. ความเป็นส่วนตัว: โปรแกรมบัญชีออฟไลน์ไม่ต้องมีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ทำให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเป็นส่วนตัวมากขึ้น

  4. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง: สำหรับโปรแกรมบัญชีออฟไลน์างตัวอาจมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งฟีเจอร์ตามความต้องการของผู้ใช้เพิ่มเติมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการอัปเดต

วิธีเช็คว่าองค์กรควรเลือกใช้โปรแกรมบัญชี ERP หรือโปรแกรมบัญชี?

อย่างที่เราเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าถ้าจะต้องเลือกระหว่างบัญชี ERP กับโปรแกรมบัญชี สิ่งที่เราต้องเช็คเลยก็คือเรื่องของความต้องการขององค์กรนั่นเอง ปัจจัยในการเลือกก็มีไม่มาก ตามข้างล่างนี้เลย 

 

1.พิจารณาจากขนาดขององค์กร เป็นหลัก

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP มีราคาแพงและซับซ้อนกว่าโปรแกรมบัญชี  ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินงานทางการเงินที่ซับซ้อนกว่ามาก โปรแกรมบัญชี เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับองค์กรขนาดเล็กหรือกลาง ที่ไม่มีความซับซ้อนมาก หรือแผนกภายในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการจัดการงานบัญชีเท่านั้น

 

2.ขอบเขตความต้องการ

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP จะรวมทุกด้านของการดำเนินการทางการเงินของธุรกิจ รวมถึงการบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง การผลิต การขาย และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ซอฟต์แวร์บัญชีมักมุ่งเน้นไปที่งานบัญชี เช่น การรายงานทางการเงิน บัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ และยอดในธนาคาร ถ้าองค์กรของเราไม่จำเป็นต้องใช้ระบบการคลัง แนะนำให้เลือกเป็นโปรแกรมบัญชีจะดีกว่า 

 

3.การผสานรวมกับระบบอื่นๆ

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP ได้รับการออกแบบให้ผสานรวมกับระบบธุรกิจอื่นๆ เช่น CRM และการจัดการสินค้าคงคลัง สิ่งนี้สามารถช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวในการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งในส่วนนี้โปรแกรมบัญชี จะซอฟแวร์ที่ใช้รองรับในส่วนนี้

 

4.ค่าใช้จ่าย

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP จะมีราคาแพงกว่า ค่าใช้จ่ายของระบบบัญชี ERP จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร คุณสมบัติที่มีอยู่ในระบบ และระดับของการปรับแต่งที่จำเป็น หรือต่อให้ระบบจะไม่ได้มีการปรับแต่งเพิ่มเติมก็มีราคาที่แพงกว่าอยู่ดี

 

5.ความซับซ้อน

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP มีความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งานมากกว่า โปรแกรมบัญชี  เนื่องจากระบบบัญชี ERP ผสานรวมกระบวนการทางธุรกิจที่หลากหลายและต้องการการปรับแต่งในระดับสูง โดยทั่วไปแล้วทำให้โปรแกรมบัญชีจะมีความซับซ้อนน้อยกว่า ใช้ระยะเวลาในการตั้งค่าปรับใช้งานไม่นาน

สุดท้ายแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรจะขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อกำหนดเฉพาะขององค์กร หากองค์กรต้องการระบบที่ครอบคลุมเพื่อจัดการทุกด้านของการดำเนินงานทางการเงิน การบัญชี ERP เป็นตัวเลือกที่ดี หากองค์กรต้องการเพียงระบบเพื่อจัดการงานด้านบัญชี ซอฟต์แวร์บัญชีก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ และแบบฟอร์มเอกสารสำหรับยื่นสรรพากรที่เพรียบพร้อม เลือกเข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

ข้อแตกต่างของภาษีบุคคลธรรมดา กับ ภาษีบริษัท

สำหรับใครที่เริ่มทำธุรกิจมาได้สักพักแล้ว คงมีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอบ่างแน่นอน ยิ่งทำไปนานวันเข้า ก็เริ่มสงสัยกับตัวเองว่าเราเหมาะสำหรับ ธุรกิจแบบบุคคลธรรมดาหรือบริษัทกันแน่นะ? พอเริ่มหาข้อมูลเองก็เริ่มสับสน ไม่แน่ใจว่าควรเลือกแบบไหนดีกว่ากัน เพราะมีทั้งข้อดีและเสียทั้งคู่

แต่ก่อนที่จะเริ่ม ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมีข้อมูลเพื่อเป็นตัวช่วยในการคิด วิเคาระห์ และหาผลลัพธ์ ให้ออกมาดีที่สุด การเลือกว่าจะ เข้ามาเสียภาษีบุคคลธรรมดา หรือ ภาษีบริษัทดีก็ควรเลือกจากความเหมาะสม และความพร้อมของธุรกิจองคฺ์ก่อนจะดีที่สุด 

ข้อแตกต่างระหว่างภาษีส่วนบุคคลและภาษีบริษัท

ผู้ชำระเงิน: ภาษีส่วนบุคคลชำระในนามของบุคคลธรรมดา ในขณะที่ภาษีบริษัทจะชำระในนามของชื่อธุรกิจ

หลักเกณฑ์: ภาษีส่วนบุคคลขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล ซึ่งภาษีบริษัทขึ้นอยู่กับผลกำไรของธุรกิจ

อัตรา: อัตราภาษีส่วนบุคคลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล กลับกันอัตราภาษีบริษัทมักจะเป็นแบบคงที่

การหักเงิน: ผู้เสียภาษีส่วนบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายบางอย่างจากรายได้ที่ต้องเสียภาษี ในขณะที่ผู้เสียภาษีบริษัทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้น้อยกว่า

เงินปันผล: เงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้เสียภาษีส่วนบุคคลจะถูกหักภาษีเป็นรายได้ ในขณะที่เงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้เสียภาษีบริษัทจะถูกหักภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า

ยกตัวอย่างภาษีส่วนบุคคลและภาษีบริษัทมีดังนี้

ภาษีส่วนบุคคล

หากคุณเป็นพนักงาน คุณต้องจ่ายภาษีส่วนบุคคลจากเงินเดือนของคุณ หากคุณประกอบอาชีพอิสระ คุณต้องเสียภาษีส่วนบุคคลจากกำไรจากธุรกิจของคุณ

ภาษีบริษัท

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลจากกำไรที่ธุรกิจของคุณที่ได้รับ

4 ข้อที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือก ภาษีบุคคลธรรมดา หรือว่า ภาษีบริษัทง่ายขึ้น

ข้อมูลต่อจากนี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแนวทางการขึ้นภาษีได้ง่ายว่า รูปแบบบุคคลธรรมดาและบริษัท ทางเลือกไหนที่เหมาะกับเรามากกว่ากัน

 

ข้อที่ 1.เรื่องการจดภาษีขึ้นทะเบียน

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบุคคลธรรมดา หรือว่า บริษัท ก็ต้องจดทะเบียนด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งสามารถจดได้ที่ จดทะเบียนพาณิชย์ที่ สำนักงานเขต หรือ อบต.  แต่ของบริษัทจะต้อง จดทะเบียนบริษัทที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าต่อ

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา

ข้อดี : ทำได้ง่าย  ค่าธรรมเนียมไม่แพง

ข้อเสียไม่น่าเชื่อถือ กรณีคู่ค้าต้องการทำการค้า กับนิติบุคคลเท่านั้น

ธุรกิจ บริษัท

ข้อดี :  น่าเชื่อถือกว่า

ข้อเสีย : ยุ่งยากกว่า ค่าธรรมเนียมสูงกว่า

ข้อที่ 2.เรื่องภาษี

ทุกคนเองก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเสีบภาษีทั้งสองแบบ ซึ่งความแตกต่างในการยื่นเรื่องค่อนข้างต่างกันมาก มีอะไร้บ้างมาดูกัน

ภาษีเงินได้

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา :  เสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา

ธุรกิจ บริษัท:  เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ค่าใช้จ่าย

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  ตามจริงหรือเหมา แล้วแต่ประเภทรายได้

ธุรกิจ บริษัท:  หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวกับบริษัท เช่น เงินเดือนพนักงาน หรือต้นทุนสินค้าต่างๆ

ฐาน

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  เงินได้สุทธิ 

ธุรกิจ บริษัท:  จากกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับ

อัตราภาษี

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:   อัตราก้าวหน้า สูงสุด 35 เปอร์เซ็นต์ 

ธุรกิจ บริษัท:  กำไร 300,000 บาทแรกยกเว้นภาษี, กำไรตั้งแต่ 300,000 – 3 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 15%, กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี 20%

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่าย เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเข้าข่ายการจ่าย เงินตามมาตรา 50 ทวิและ ท.ป. 4/2528 แห่งประมวลรัษฎากร

ธุรกิจ บริษัท:  ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นภาษีที่บริษัทต้องจ่ายให้กับสรรพกรทุกวันที่ 7 ของเดือน ต้องหักเมื่อมีการซื้อหรือจ่ายค่าบริการ

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

เหมือนกัน ถ้ารายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะทำธุรกิจรูปแบบใดก็แล้วแต่

ข้อที่ 3.เรื่องของค่าจ้างพนักงาน

เรื่องของค่าจ้างไม่ได้ต่างกันเลย เพราะว่าการจะมีพนักงานได้ก็ต้องมีลูกข้างมากว่า 1 คนทั้งคู่ แถมต้องทำตามกฏระเบียบให้เรียบร้อย ทำเรื่องขึ้นทะเบียนประกันสังคม และมีการส่งประกันทุกเดือนตามกฏหมาย 

ข้อที่ 4.เรื่องการส่งงบการเงิน 

จุดนี้จะทำให้เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของทั้งคู่อย่างชัดเจน กับในนามบุคคลธรรมดา กฏหมายไม่ได้บังคับให้ส่งงบการเงิน ซึ่งต่างจากบริษัท ที่ต้องทำบัญชีให้เรียบร้อย เพราะต้องนำงบไปส่งหน่วยงานราชการ ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจมีการจ้างฝากการบัญชีเข้ามาช่วยจัดระเบียนด้วยจะดีแะลง่ายกว่าการจัดกรข้อมูลเอง 

เชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนอ่านข้อมูลจบแล้วจะสามารถเข้าใจ ข้อแตกต่างของภาษีบุคคลธรรมดา กับ ภาษีบริษัท และตัดสินใจเลือกได้แล้วว่าเราควรเลือกไปทางไหนดีกว่ากัน 

***ทริปเล็กๆ เรื่องความรู้เกี่ยวกับภาษี 

กฎเฉพาะสำหรับภาษีส่วนบุคคลและภาษีนิติบุคคลจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในอินเดีย อัตราภาษีนิติบุคคลคือ 25% ในขณะที่อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ระหว่าง 5% ถึง 30%

Education Template

Scroll to Top