ปี: 2023

8 รายจ่ายต้องห้ามทางภาษี รู้ก่อนเสียเงินฟรี

ภาษีเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเกิดรายได้ของรัฐบาลและมีบทบาทในการส่งเสริมความเสมอภาคในสังคม แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางรายจ่ายที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราที่ไม่ต้องมีการเสียภาษีใดๆ นอกจากนี้ยังมีบางรายจ่ายที่ต้องทำการเสียภาษีเรียกว่าหนีไม่ได้เลยอย่างการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็คงจะหนีไม่พ้นสิทธิที่บริษัทเสียภาษีบนฐานของผลกำไรของบริษัท ในบทความนี้ เราจะมาพิจารณา 8 รายจ่ายที่ต้องห้ามทางภาษีในประเทศไทย ห้ามนำไปคิดคำนวณเป็นรายจ่ายตอนเสียภาษีเด็ดขาด เพราะผิดกฎหมาย มีหลักๆ ดังนี้

1.เงินช่วยเหลือหรือเงินสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล

เงินช่วยเหลือหรือเงินสนับสนุนที่ได้รับจากหน่วยงานรัฐบาลในกรณีเหตุฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอาจไม่ต้องเสียภาษี

2.รายได้จากการทำกิจการธุรกิจที่ได้รับยกเว้นภาษี

บางธุรกิจและกิจการอาจได้รับยกเว้นภาษีในบางกรณี อย่างเช่น การลงทุนในธุรกิจของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (BOI) หรือธุรกิจที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานรัฐบาล

3.รายได้จากการซื้อขายทองคำ

รายได้ที่ได้รับจากการซื้อขายทองคำในรูปของทองคำชนิดต่างๆ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีซึ่งกำหนดโดยกฎหมาย

4.รายได้จากการรับของขวัญและบริจาค

เงินที่ได้รับจากการรับของขวัญและบริจาคที่อยู่ในกรอบที่กฎหมายกำหนดสามารถรับได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

5.เงินเดือนและค่าจ้าง

เงินเดือนและค่าจ้างที่ได้รับจากการทำงานที่มีเงื่อนไขตามกฎหมาย ส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากภาษีได้ถูกหักก่อนการจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง

6.การรับประโยชน์ทางสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นๆ

การรับสวัสดิการเช่น ค่าคลอดบุตร ค่าทำฟัน สวัสดิการเงินบำนาญ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับจากหน่วยงานรัฐบาลในบางกรณีอาจไม่ต้องเสียภาษี

7.เงินรางวัลที่ได้รับในการแข่งขัน

เงินรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันต่างๆ เช่น กีฬา ศิลปะ การแสดง และกิจกรรมอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลไม่ต้องเสียภาษี

8.เงินออมในบัญชีออมทรัพย์

เงินที่อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดในธนาคารมีการยกเว้นภาษีเมื่อถอนเงินเป็นครั้งแรกไม่เกิน ฿500,000 ต่อปีภาษี สำหรับบัญชีที่อยู่ค้างไว้เกิน 7 ปีและออกให้กับคนที่มีอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป ยกเว้นการเสียภาษีอากรที่แน่นอนในทุกกรณี

ในการจัดการเงินและการวางแผนการเสียภาษี ควรให้ความสำคัญในการตรวจสอบรายจ่ายให้ดีว่ามาจากส่วนไหนบ้่างแยกเป็นหมวดหมู่อย่างละเอียด อย่านำมาปะปนกันเพื่อการวางแผนการเงินระยะยาว ของเราในอนาคต ต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมายทางภาษีอาจมาจากการที่เราทำข้อมูลรายการการเสียภาษีผิดพลาด สามารถส่งผลให้ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม และอาจถูกเสียค่าปรับและโทษทางภาษีจากเจ้าหน้าที่หรืออาจเสียภาษีโดยไม่ได้รับการยกเว้น ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีและการเสียภาษีให้ละเอียดก่อนดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเงินหรือทรัพย์สินในทุกครั้ง 

ส่วนใครที่เริ่มเสียภาษีครั้งแรก ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน สามารถตรวจสอบข้อมูลภาษี ที่เว็บ https://www.rd.go.th/272.html กรมสรรพากรได้เลย 

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี AccCloud ที่กลุ่มธุรกิจ ห้ามพลาด! ช่วยจัดการระบบบัญชี ให้ธุรกิจทำงานง่ายขึ้น!

การทำธุรกิจใครว่าเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะเรื่องของการทำบัญชีที่ต้องเน้นการไปที่ความแม่นยำของข้อมูล สำหรับการทำธุรกิจที่มีช่องทางการขาย หลากหลาย ต้อวขายผ่านออนไลน์ จัดสต๊อกหน้าร้าน เครียร์ออเดอร์ ที่มีการสั่งเข้ามาตลอดทั้งวัน เลยทำให้การทำงานเกี่ยวกับบัญชีค่อนข้างจะยุงยากในการรวบรวมข้อมูลเพื่อเครียร์บัญชีในแต่ละวัน สำหรับการวางแผน หรือส่งสรรพกรยื่นเรื่องภาษี

 ทุกวันนี้เลยมีการออกแบบโปแกรมบัญชีแบบ ERP ขึ้นมา ที่ทำหน้าที่มากกว่า โปรแกรมบัญชีแบบเก่า สามารถเชื่อต่อการทำงานได้หลายแห่งพน้อมกัน รวบรวมข้อมูลและจัดเอกสารออกมาให้เป็นระเบียบง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องวุ่นวายเอกสารเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง 

โปรแกรมบัญชี ERP AccCloud ช่วยจัดการ ?

  • ระบบบริหารการผลิต
  • ระบบงานก่อสร้าง
  • ระบบการซื้อ
  • ระบบการขาย
  • ระบบบัญชี
  • ระบบคลังสินค้า
  • ระบบการเงิน
  • ระบบภาษี

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี ERP AccCloud สำหรับธุรกิจออนไลน์

ด้วยความสามารถเชื่อมต่อ  API Lazada ,Shoppee ,Tiktok แลพ Line ได้ในที่เดียว ทำงานง่ายขึ้น เช็คสต๊อก รายรับรายจ่าย ได้ในจุดเดียว เหมะสำหรับธุรกิจทุกขนาด 

1. ระบบสามารถเชื่อมโยงยอดขายจาก Lazada, shoppee, line และ Tiktok ได้แบบ RealTime

2. ระบบสามารถปรับปรุงยอดสินค้าจากโปรแกรมบัญชี AccCloud ไปยัง Platform Ecommerce เช่น   Lazada, shoppee, line และ Tiktok ได้แบบ RealTime ได้

3. ระบบสามารถเพิ่มร้านค้าได้ไม่จำกัดร้านค้าที่ผูกมาจาก Platform ไปยัง AccCloud

4. ระบบสามารถสรุปยอด Order ได้ไม่จำกัด แล้วส่ง order เหล่านั้นเข้ามาเป็นยอดขายใน AccCloud เพื่อเปิดบิล และ ลง บช ได้

5. ระบบสามารถติดตามสถานการณ์ดำเนินการเช่นขนส่ง จัดเตรียม ดำเนินการสำเร็จจากโปรแกรม AccCloud ERP ได้

6. ระบบสามารถคำนวณยอดสต๊อกเพื่อสั่งซื้อมาจัดจำหน่ายได้ หรือ คำนวณยอดสต๊อกเพื่อสั่งผลิตมาขายได้

7. เนื่องจากระบบเชื่อมโยงกับ Ecommerce  ดังนั้นข้อมูล ทางบัญชีจึงสามารถรวมยอดทั้ง OffLine + Online ได้ทันทีตลอดเวลา8. และสามารถดูงบการเงิน งบกำไรขาดทุน และ สินค้าคงเหลือได้แบบ Real Time

เนื่องจากสามารถทุนแรงใมการทำงานได้ค่อนข้างมากในองค์กร เลยทำให้นักธุรกิจหลายรายเริ่มหันมาสนใจโปรแกรมบัญชี ERP มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ  การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลตัวโปแกรมก็ทำงานออกมาได้ดี โดยที่ไม่ต้องเข้าไปตรวจงานด้วยตัวเองถึงหน้างาน แถมยังสามารถ รับรู้สถานการณ์และปัญหาของงานต่างๆ ได้ทันที ทำให้สามารถตัดสินใจดำเนินธุรกิจ หรือแก้ปัญหาภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาาพ 

ส่วนใครที่กำลังมองหาบริษัทที่น่าเชื่อถือในการติดตั้งระบบโปรแกรมบัญชี ERP ที่มีความน่าเชื่อถือ มีการดูแลหลังการขายตลอดอายุสัญญา หรือหลังจากหมดสัญญาไปแล้ว สามารถติดต่อเรา บริษัท แอคคลาวด์ จำกัด  หรือจะเข้ามาปรึกษาได้ที่ 10-11 ถนน ลูกหลวง แขวง ดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม? สามารถจดได้ตอนไหน?

ระบบภาษีในประเทศไทย มีผลต่อธุรกิจทุกอย่างเป็นจำนวนมากธุรกิจที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจข้อกำหนดในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับด้านภาษี เราจะพามาเจาะลึกถึงรายละเอียดว่าธุรกิจแบบใดบ้าง ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้ข้อมูลเชิงลึกว่าเมื่อใดที่ควรจดบันทึกขั้นตอนการจดทะเบียน

ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ธุรกิจที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยทั่วไปธุรกิจที่มีหน้าที่ต้องลงทะเบียน คือ

  • ธุรกิจที่มีรายรับหรือรายได้จากการขายสินค้า หรือบริการเป็นยอดจำนวนเงินมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
  • ธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ ที่พิสูจน์ได้ว่ามีการดำเนินงาน และเตรียมการประกอบกิจการอันเป็นเหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้า หรือรับบริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน หรือก่อสร้างอาคารสำนักงาน 
  • ธุรกิจที่อยู่นอกราชอาณาจักรและได้ขายสินค้าอยู่ภายในราชอาณาจักร โดยมีตัวแทนอยู่ภายในราชอาณาจักร ให้ตัวแทนเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจดทะเบียน

ต้องเริ่มจดภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่

การติดตามปริมาณการขายของธุรกิจเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญ ที่ต้องใช้ประกอบในการพิจารณาว่าเมื่อใดจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นี่คือเหตุผลสำคัญที่ควรพิจารณา

ตรวจสอบยอดขาย

หมั่นตรวจสอบรายได้ของธุรกิจเป็นประจำ เพื่อประเมินว่าใกล้ถึงหรือเกินเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มรึยัง 

ติดตามการคาดการณ์ในอนาคต

ถ้าคุณคาดว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตและผ่านเกณฑ์การจดทะเบียน VAT ในอนาคต เราขอแนะนำให้เริ่มกระบวนการลงทะเบียนตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด และตามเวลา

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

ถ้าคุณไม่แน่ใจ เกี่ยวกับข้อกำหนดในการจดทะเบียนหรือต้องการความช่วยเหลือในการปรึกษา คาดการณ์ว่าควรจดทะเบียนเมื่อใด แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรในประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ

ระยะเวลาในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เมื่อธุรกิจของคุณมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องทำการยื่นขอจดทะเบียนภายใน 30 วัน เริ่มนับจากวันที่ธุรกิจของคุณผ่านเกณฑ์หรือทราบว่าจะเกินเกณฑ์

การทำความเข้าใจข้อกำหนดในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับด้านภาษี เมื่อระบุว่าธุรกิจของคุณเป็นไปตามเกณฑ์ และขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรเพื่อจัดการกับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณอยากรู้

ถ้าคุณมีความกังวลในการทำเอกสารเกี่ยวกับภาษี
เราขอแนะนำ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะช่วยจัดการงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีได้รวดเร็วและถูกต้อง
สนใจเข้าใช้บริการโปรแกรมบัญชี AccCloud สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : acccloud.tech

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ภาษีครึ่งปีคืออะไร? ใครต้องจ่าย?

ภาษีครึ่งปี คือภาษีประเภทหนึ่งที่แบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดกลางปีและงวดปลายปี ภาษีประเภทนี้มักใช้สำหรับธุรกิจ แต่ก็สามารถใช้กับบุคคลธรรมดาได้เช่นกัน ในบางประเทศ ภาษีครึ่งปีเป็นข้อบังคับสำหรับทุกธุรกิจ ในขณะที่บางประเทศเป็นข้อบังคับสำหรับธุรกิจที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย ภาษีครึ่งปีมีผลบังคับใช้สำหรับทุกธุรกิจที่มีกำไรสุทธิมากกว่า 1 ล้านบาท

ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดา แต่ต้องการแบ่งจ่ายภาษีครึ่งปี จะสามารถทำได้แค่ในบางประเทศเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น ในอินเดีย บุคคลที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีมากกว่า 5 แสนรูปีต้องจ่ายภาษีครึ่งปี

จำนวนภาษีครึ่งปีที่ชำระโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับกำไรหรือรายได้โดยประมาณสำหรับครึ่งปีแรก จำนวนภาษีที่ต้องชำระจริง อาจถูกปรับเปลี่ยนเมื่อสิ้นปี เป็นการจากรอบที่ 2 หรือรอบสุดท้ายของปี เมื่อทราบผลกำไรหรือรายได้แล้วนั้นเอง

ใครที่ต้องจ่าย ภาษีครึ่งปีบ้าง

โดยตามกฎหมายได้มีการกำหนดหน้าที่ให้ทั้งบุคคลและนิติบุคคลจ่ายภาษีล่วงหน้า ซึ่งถ้าถามว่าใครต้องจ่าย ก็ต้องตอบได้เลยว่า สามารถจ่ายภาีแบบครึ่งปีได้ทั้งคู่ แต่แค่มีเงื่อนไขที่จะต้องจ่ายแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเอง

จำนวนภาษีครึ่งปีที่ถึงกำหนดขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้เสียภาษีและอัตราภาษีที่ใช้ ในบางกรณี การชำระภาษีครึ่งปีอาจขึ้นอยู่กับรายได้รวมของผู้เสียภาษีประจำปีโดยประมาณ ในกรณีอื่น ๆ ผู้เสียภาษีอาจต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีตามรายได้จริงเพิ่มเติมกับสำนักงานอีกด้วย

ประโยชน์ของการชำระภาษีครึ่งปีประกอบด้วย:

  • สามารถช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถกระจายการชำระภาษีได้ตลอดทั้งปี
  • สามารถช่วยให้ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียภาษีก้อนใหญ่ในช่วงปลายปี
  • ช่วยให้ผู้เสียภาษีมีความยืดหยุ่นในการจัดการกระแสเงินสดมากขึ้น

ข้อเสียของการจ่ายภาษีครึ่งปี ได้แก่

  • การติดตามและจัดการการชำระภาษีสองรายการแยกกันอาจซับซ้อนกว่า
  • มีความเสี่ยงที่รายได้โดยประมาณของผู้เสียภาษีจะไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายภาษีเกินหรือจ่ายน้อยเกินไป

ภาษีครึ่งปีนั้นเหมาะสำหรับการกระจายภาระภาษีสำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถช่วยให้แน่ใจว่าเราชำระภาษีตรงเวลา ไม่ผิดนัด

บางประเทศที่เรียกเก็บภาษีครึ่งปี:

  • ประเทศไทย
  • อินเดีย
  • มาเลเซีย
  • สิงคโปร์
  • อินโดนีเซีย

กฎเฉพาะสำหรับภาษีครึ่งปีจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบกับหน่วยงานด้านภาษีในประเทศของคุณเพื่อดูว่าคุณต้องจ่ายภาษีครึ่งปีหรือไม่และต้องจ่ายเท่าไร แน่นอนว่าหลายบริษัทเลือกที่จะจ้างนักบัญชีจ้างภายนอกเข้ามาดูแลเรื่องของภาษีที่ต้องนำส่งหน่วยข้าราชการมากกว่า การจ้างนัญบัญชีเข้ามาโดยเฉพาะแบบองค์กรใหญ่ เนื่องจากมองเห็นถึงความคุ้มค่าที่ดีกว่า แถมองค์กรขนาดเล็ก ไปจนถึงกลาง ไม่เหมาะสำหรับการจ้างนัญชีเข้ามานั้นเอง

โปรแกรมบัญชี ERP กับ โปรแกรมบัญชี ต่างกันตรงไหน

องค์กรธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาใช้โปรแกรมบัญชีกันมากขึ้น เพราะเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ธุรกิจติดตามและจัดการธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายและเลี่ยงโอกาสเกิดของข้อผิดพลาดได้ดี ปกติแล้วโปรแกรมบัญชีทั่วไปจะมีคุณสมบัติสำหรับการบันทึกรายงาน เช่น ใบแจ้งหนี้ ค่าใช้จ่าย และการชำระเงิน และจัดการสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อเตรียมยื่นเอกสารการคืนภาษีและจัดการบัญชีเงินเดือนได้ ซึ่งมีรูปแบบโปรแกรมบัญชีต่างๆ ให้เลือกมากมาย ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ แล้วถ้าเราอยากรู้ว่าโปรแกรมบัญชีไหนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจหรือองค์กรของเรา้องคำนึงถึงอะไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่

ความแตกต่างของโปรแกรมบัญชี  ERP และ โปรแกรมบัญชีทั่วไป

โปรแกรมบัญชีทั้งสองตัว  เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจ แต่มีวัตถุประสงค์และความสามารถที่แตกต่างกันออกไปค่อนข้างมาก หวังว่าหลังจากที่ได้อ่านบทความทุกคนจะสามารถเข้าใจถึความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวได้มากขึ้น 

โปรแกรมบัญชี ERP คือ

เป็นระบบที่ครอบคลุมมากขึ้นซึ่งรวมทุกด้านของการดำเนินงานทางการเงินของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง การผลิต การขาย และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) โดยทั่วไประบบบัญชี ERP จะใช้โดยธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการการดำเนินงานที่ซับซ้อน

ข้อดีของโปรแกรมบัญชี ERP

  1. การเข้าถึงและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา: โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ERP สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เหมาะสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างทีมที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลและการทำงานร่วมกันอย่างรวดเร็ว

  2. การอัพเดตและการบำรุงรักษาโปรแกรมอัตโนมัติ: โปรแกรมบัญชีออนไลน์มักมีการอัพเดตและการบำรุงรักษาโปรแกรมโดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการดูแลรักษาระบบเอง

  3. ความสะดวกสบายในการแชร์ข้อมูล: ช่วยให้ทีมงานสามารถแชร์ข้อมูลและทำงานร่วมกันได้สะดวกและรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องส่งไฟล์ไปมาผ่านทางอีเมลให้ยุ่งยาก

  4. ค่าใช้จ่ายไม่สูง: เพราะโปรแกรมบัญชีออนไลน์มีการเรียกเก็บค่าบริการในรูปแบบเป็นรายเดือนหรือรายปี ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของธุรกิจ

โปรแกรมบัญชีทั่วไป คือ

เป็นระบบพิเศษที่เน้นงานบัญชี เช่น การรายงานทางการเงิน บัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ และการกระทบยอดธนาคาร โดยทั่วไปแล้วซอฟต์แวร์บัญชีจะใช้โดยธุรกิจขนาดเล็กหรือแผนกภายในธุรกิจขนาดใหญ่นั่นเอง

ข้อดีของโปรแกรมบัญชีทั่วไป

  1. การทำงานแบบออฟไลน์ได้: โปรแกรมบัญชีทั่วไปสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้หรือในสถานที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่คงที่

  2. ความปลอดภัยของข้อมูล: โปรแกรมบัญชีแบบออฟไลน์ เป็นการทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถควบคุมระดับความปลอดภัยของข้อมูลได้มากกว่าในระบบออนไลน์

  3. ความเป็นส่วนตัว: โปรแกรมบัญชีออฟไลน์ไม่ต้องมีการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ทำให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเป็นส่วนตัวมากขึ้น

  4. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง: สำหรับโปรแกรมบัญชีออฟไลน์างตัวอาจมีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งฟีเจอร์ตามความต้องการของผู้ใช้เพิ่มเติมได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการอัปเดต

วิธีเช็คว่าองค์กรควรเลือกใช้โปรแกรมบัญชี ERP หรือโปรแกรมบัญชี?

อย่างที่เราเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าถ้าจะต้องเลือกระหว่างบัญชี ERP กับโปรแกรมบัญชี สิ่งที่เราต้องเช็คเลยก็คือเรื่องของความต้องการขององค์กรนั่นเอง ปัจจัยในการเลือกก็มีไม่มาก ตามข้างล่างนี้เลย 

 

1.พิจารณาจากขนาดขององค์กร เป็นหลัก

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP มีราคาแพงและซับซ้อนกว่าโปรแกรมบัญชี  ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินงานทางการเงินที่ซับซ้อนกว่ามาก โปรแกรมบัญชี เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับองค์กรขนาดเล็กหรือกลาง ที่ไม่มีความซับซ้อนมาก หรือแผนกภายในองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการจัดการงานบัญชีเท่านั้น

 

2.ขอบเขตความต้องการ

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP จะรวมทุกด้านของการดำเนินการทางการเงินของธุรกิจ รวมถึงการบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง การผลิต การขาย และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ซอฟต์แวร์บัญชีมักมุ่งเน้นไปที่งานบัญชี เช่น การรายงานทางการเงิน บัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้ และยอดในธนาคาร ถ้าองค์กรของเราไม่จำเป็นต้องใช้ระบบการคลัง แนะนำให้เลือกเป็นโปรแกรมบัญชีจะดีกว่า 

 

3.การผสานรวมกับระบบอื่นๆ

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP ได้รับการออกแบบให้ผสานรวมกับระบบธุรกิจอื่นๆ เช่น CRM และการจัดการสินค้าคงคลัง สิ่งนี้สามารถช่วยให้ธุรกิจมีความคล่องตัวในการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งในส่วนนี้โปรแกรมบัญชี จะซอฟแวร์ที่ใช้รองรับในส่วนนี้

 

4.ค่าใช้จ่าย

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP จะมีราคาแพงกว่า ค่าใช้จ่ายของระบบบัญชี ERP จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กร คุณสมบัติที่มีอยู่ในระบบ และระดับของการปรับแต่งที่จำเป็น หรือต่อให้ระบบจะไม่ได้มีการปรับแต่งเพิ่มเติมก็มีราคาที่แพงกว่าอยู่ดี

 

5.ความซับซ้อน

โดยทั่วไปแล้วระบบบัญชี ERP มีความซับซ้อนในการติดตั้งและใช้งานมากกว่า โปรแกรมบัญชี  เนื่องจากระบบบัญชี ERP ผสานรวมกระบวนการทางธุรกิจที่หลากหลายและต้องการการปรับแต่งในระดับสูง โดยทั่วไปแล้วทำให้โปรแกรมบัญชีจะมีความซับซ้อนน้อยกว่า ใช้ระยะเวลาในการตั้งค่าปรับใช้งานไม่นาน

สุดท้ายแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรจะขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อกำหนดเฉพาะขององค์กร หากองค์กรต้องการระบบที่ครอบคลุมเพื่อจัดการทุกด้านของการดำเนินงานทางการเงิน การบัญชี ERP เป็นตัวเลือกที่ดี หากองค์กรต้องการเพียงระบบเพื่อจัดการงานด้านบัญชี ซอฟต์แวร์บัญชีก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ และแบบฟอร์มเอกสารสำหรับยื่นสรรพากรที่เพรียบพร้อม เลือกเข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

ข้อแตกต่างของภาษีบุคคลธรรมดา กับ ภาษีบริษัท

สำหรับใครที่เริ่มทำธุรกิจมาได้สักพักแล้ว คงมีเรื่องของภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอบ่างแน่นอน ยิ่งทำไปนานวันเข้า ก็เริ่มสงสัยกับตัวเองว่าเราเหมาะสำหรับ ธุรกิจแบบบุคคลธรรมดาหรือบริษัทกันแน่นะ? พอเริ่มหาข้อมูลเองก็เริ่มสับสน ไม่แน่ใจว่าควรเลือกแบบไหนดีกว่ากัน เพราะมีทั้งข้อดีและเสียทั้งคู่

แต่ก่อนที่จะเริ่ม ตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมีข้อมูลเพื่อเป็นตัวช่วยในการคิด วิเคาระห์ และหาผลลัพธ์ ให้ออกมาดีที่สุด การเลือกว่าจะ เข้ามาเสียภาษีบุคคลธรรมดา หรือ ภาษีบริษัทดีก็ควรเลือกจากความเหมาะสม และความพร้อมของธุรกิจองคฺ์ก่อนจะดีที่สุด 

ข้อแตกต่างระหว่างภาษีส่วนบุคคลและภาษีบริษัท

ผู้ชำระเงิน: ภาษีส่วนบุคคลชำระในนามของบุคคลธรรมดา ในขณะที่ภาษีบริษัทจะชำระในนามของชื่อธุรกิจ

หลักเกณฑ์: ภาษีส่วนบุคคลขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล ซึ่งภาษีบริษัทขึ้นอยู่กับผลกำไรของธุรกิจ

อัตรา: อัตราภาษีส่วนบุคคลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละบุคคล กลับกันอัตราภาษีบริษัทมักจะเป็นแบบคงที่

การหักเงิน: ผู้เสียภาษีส่วนบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายบางอย่างจากรายได้ที่ต้องเสียภาษี ในขณะที่ผู้เสียภาษีบริษัทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้น้อยกว่า

เงินปันผล: เงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้เสียภาษีส่วนบุคคลจะถูกหักภาษีเป็นรายได้ ในขณะที่เงินปันผลที่จ่ายให้กับผู้เสียภาษีบริษัทจะถูกหักภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า

ยกตัวอย่างภาษีส่วนบุคคลและภาษีบริษัทมีดังนี้

ภาษีส่วนบุคคล

หากคุณเป็นพนักงาน คุณต้องจ่ายภาษีส่วนบุคคลจากเงินเดือนของคุณ หากคุณประกอบอาชีพอิสระ คุณต้องเสียภาษีส่วนบุคคลจากกำไรจากธุรกิจของคุณ

ภาษีบริษัท

หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลจากกำไรที่ธุรกิจของคุณที่ได้รับ

4 ข้อที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือก ภาษีบุคคลธรรมดา หรือว่า ภาษีบริษัทง่ายขึ้น

ข้อมูลต่อจากนี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแนวทางการขึ้นภาษีได้ง่ายว่า รูปแบบบุคคลธรรมดาและบริษัท ทางเลือกไหนที่เหมาะกับเรามากกว่ากัน

 

ข้อที่ 1.เรื่องการจดภาษีขึ้นทะเบียน

ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบุคคลธรรมดา หรือว่า บริษัท ก็ต้องจดทะเบียนด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งสามารถจดได้ที่ จดทะเบียนพาณิชย์ที่ สำนักงานเขต หรือ อบต.  แต่ของบริษัทจะต้อง จดทะเบียนบริษัทที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าต่อ

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา

ข้อดี : ทำได้ง่าย  ค่าธรรมเนียมไม่แพง

ข้อเสียไม่น่าเชื่อถือ กรณีคู่ค้าต้องการทำการค้า กับนิติบุคคลเท่านั้น

ธุรกิจ บริษัท

ข้อดี :  น่าเชื่อถือกว่า

ข้อเสีย : ยุ่งยากกว่า ค่าธรรมเนียมสูงกว่า

ข้อที่ 2.เรื่องภาษี

ทุกคนเองก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเสีบภาษีทั้งสองแบบ ซึ่งความแตกต่างในการยื่นเรื่องค่อนข้างต่างกันมาก มีอะไร้บ้างมาดูกัน

ภาษีเงินได้

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา :  เสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา

ธุรกิจ บริษัท:  เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

ค่าใช้จ่าย

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  ตามจริงหรือเหมา แล้วแต่ประเภทรายได้

ธุรกิจ บริษัท:  หักค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวกับบริษัท เช่น เงินเดือนพนักงาน หรือต้นทุนสินค้าต่างๆ

ฐาน

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  เงินได้สุทธิ 

ธุรกิจ บริษัท:  จากกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับ

อัตราภาษี

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:   อัตราก้าวหน้า สูงสุด 35 เปอร์เซ็นต์ 

ธุรกิจ บริษัท:  กำไร 300,000 บาทแรกยกเว้นภาษี, กำไรตั้งแต่ 300,000 – 3 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 15%, กำไรมากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี 20%

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

ธุรกิจ บุคคลธรรมดา:  ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่าย เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเข้าข่ายการจ่าย เงินตามมาตรา 50 ทวิและ ท.ป. 4/2528 แห่งประมวลรัษฎากร

ธุรกิจ บริษัท:  ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นภาษีที่บริษัทต้องจ่ายให้กับสรรพกรทุกวันที่ 7 ของเดือน ต้องหักเมื่อมีการซื้อหรือจ่ายค่าบริการ

ภาษีมูลค่าเพิ่ม

เหมือนกัน ถ้ารายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะทำธุรกิจรูปแบบใดก็แล้วแต่

ข้อที่ 3.เรื่องของค่าจ้างพนักงาน

เรื่องของค่าจ้างไม่ได้ต่างกันเลย เพราะว่าการจะมีพนักงานได้ก็ต้องมีลูกข้างมากว่า 1 คนทั้งคู่ แถมต้องทำตามกฏระเบียบให้เรียบร้อย ทำเรื่องขึ้นทะเบียนประกันสังคม และมีการส่งประกันทุกเดือนตามกฏหมาย 

ข้อที่ 4.เรื่องการส่งงบการเงิน 

จุดนี้จะทำให้เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของทั้งคู่อย่างชัดเจน กับในนามบุคคลธรรมดา กฏหมายไม่ได้บังคับให้ส่งงบการเงิน ซึ่งต่างจากบริษัท ที่ต้องทำบัญชีให้เรียบร้อย เพราะต้องนำงบไปส่งหน่วยงานราชการ ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจมีการจ้างฝากการบัญชีเข้ามาช่วยจัดระเบียนด้วยจะดีแะลง่ายกว่าการจัดกรข้อมูลเอง 

เชื่อว่าหลังจากที่ทุกคนอ่านข้อมูลจบแล้วจะสามารถเข้าใจ ข้อแตกต่างของภาษีบุคคลธรรมดา กับ ภาษีบริษัท และตัดสินใจเลือกได้แล้วว่าเราควรเลือกไปทางไหนดีกว่ากัน 

***ทริปเล็กๆ เรื่องความรู้เกี่ยวกับภาษี 

กฎเฉพาะสำหรับภาษีส่วนบุคคลและภาษีนิติบุคคลจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ตัวอย่างเช่น ในอินเดีย อัตราภาษีนิติบุคคลคือ 25% ในขณะที่อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ระหว่าง 5% ถึง 30%

8 ข้อที่ควรรู้ ก่อนเริ่มขั้นตอนการขึ้นระบบโปรแกรมบัญชี

ในปัจจุบัน การใช้แรงงานคนในการทำงาน หรือที่เรียกว่าระบบ Mannual กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลัง ถ้าพูดถึงการทำธุรกิจก็จะมีสิ่งหนึ่งควบคู่ตามกันมาคือการทำบัญชี เพราะมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับหลายสิ่งมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายภาษี การคุมต้นทุน งบกำไรต่างๆ และการใช้คนในการทำบัญชี ก็มักจะเกิดความผิดพลาดและล่าช้า ทำให้เกิดการสร้างสิ่งที่จะช่วยให้การทำบัญชีสะดวกมากขึ้น นั่นก็คือ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะเข้ามามีส่วนช่วยในการทำบัญชีของธุรกิจ ช่วยลดต้นทุน เก็บรักษาข้อมูล จัดแจงงานบัญชีและแบ่งส่วนงานต่างๆ ขององค์กร แต่การใช้โปรแกรมบัญชีก็ยังคงต้องการคนคอยควบคุมการทำงานอยู่แต่ใช้กำลังคนน้อยลง ทำให้ไม่ต้องจ้างพนักงานจำนวนมาก ซึ่งก่อนที่จะเริ่มใช้โปรแกรมบัญชี มีข้อที่ควรรู้ก่อนการขึ้นระบบโปรแกรมบัญชี

แนะนำข้อที่ควรรู้ ก่อนเริ่มขั้นตอนการขึ้นระบบโปรแกรมบัญชี

1. ประชุมสรุปหาความต้องการ

รวบรวมตัวแทนทีมงานแต่ละส่วน เพื่อเข้าร่วมการประชุมหาความต้องการของระบบ ว่าถ้าต้องการใช้โปรแกรมบัญชี มีความจำเป็นยังไงบ้าง และมีฟังก์ชั่นอะไรที่จำเป็นสำหรับธุรกิจของเรา และมีความจำเป็นมากพอหรือไม่ ที่จะลงทุนใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อให้การทำงานง่ายขึ้น

2. Mapping การใช้งาน

วางแผนการใช้งานของโปรแกรมบัญชีที่ต้องการว่าแต่ละหน่วยงาน มีความจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชั่นส่วนไหนบ้างของโปรแกรม เพื่อให้การทำงานมีความชัดเจนและราบรื่น เพราะการวางแผนที่ดีจะช่วยให้ การทำงานแต่ละหน่วยงานขึ้นและทำงานร่วมกันได้ดี

3. สอนการใช้งานหน่วยที่เกี่ยวข้อง

หลังจากประชุมสรุปหาความต้องการและวางแผนการทำงานเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมีการเชิญตัวแทนของแต่ละหน่วยงานมาศึกษาวิธีการทำงานของโปรแกรมบัญชี เพื่อให้เข้าใจวิธีการทำงานอย่างถูกต้อง

4. จัดเตรียมข้อมูล

จัดเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่ต้องใช้ตาม template ที่ถูกเตรียมไว้ด้วย Microsoft Excel เพื่อให้นำข้อมูลการเงินต่างๆ ที่ต้องนำเข้าระบบโปรแกรมบัญชีได้ง่าย และข้อมูลมีความถูกต้อง

5. นำข้อมูลเข้าสู่ระบบ

หลังจากทำการเตรียมข้อมูลเรียบแล้ว ให้เริ่มนำข้อมูลทั้งหมดที่ได้เตรียมไว้อัพโหลดขึ้นบนโปรแกรมบัญชี ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการคำนวณ วิเคราะและสร้างแบบฟอร์มต่างๆ ของโปรแกรมบัญชี

6. นัดอบรมการใช้งานแยกแต่ละแผนก 

หลังจากที่ตัวแทนแต่ละหน่วยงานได้รับการสอนวิธีการใช้งานแล้ว ก็ต้องนำความรู้ที่ได้มาสอนแก่พนักงานคนอื่นภายในแผนก เพื่อให้เข้าใจวิธีการทำงานและใช้งานอย่างทั่วถึง

7. ปรับแต่งแบบฟอร์ม 

ก่อนการเริ่มใช้โปรแกรมบัญชี ต้องปรับแบบฟอร์มให้สอดคล้องกับการใช้งาน เพราะในแต่ละแบบฟอร์มจะมีรายละเอียดของธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป และจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการแก้ไขแบบฟอร์มหลายๆ ครั้ง

8. ขึ้นระบบ และ ติดตามข้อมูลที่เข้าสู่ระบบ

เริ่มการใช้งานโปรแกรมบัญชี และคอยติดตามข้อมูลภายในโปรแกรมว่ามีความครบถ้วนหรือ จะได้ลดโอกาสเกิดความผิดพลาด และได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง 100% 

และทั้งหมดนี่ก็คือ ข้อที่ควรรู้ก่อนเริ่มขั้นตอนการขึ้นระบบโปรแกรมบัญชี ที่ทำได้ง่ายและไม่ยากการปรับมาใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ดีกว่าการทำบัญชีแบบเดิม ที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ตลอดเวลาและล่าช้ามาก การหันมาใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะช่วยให้การทำบัญชีและการจัดการของธุรกิจคุณง่ายมากยิ่งขึ้น และลดความผิดพลาดจากการทำงาน ด้วยฟังก์ชั่นและแบบฟอร์มเอกสารที่หลากหลาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานจำนวนมาก และในทุกขั้นตอนการขึ้นระบบโปรแกรมบัญชี จะมีทีมดูแลและให้คำปรึกษาการใช้งานจากโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ทำให้ไม่ต้องกังวลในแต่ละขั้นตอนเลย

สำหรับใครที่สนใจใช้งานโปรแกรมบัญชี AccCloud ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : AccCloud.tech
หรือถ้าอยากดูฟังก์ชั่นเพิ่มเติมก็สามารถเข้าทดลองการใช้งานได้ที่ คลิ๊ก

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

การปิดงบการเงิน สำคัญกับบริษัทขนาดไหนมาดูกัน

การปิดงบการเงินหมายถึงกระบวนการที่ใช้ในการสรุปและบันทึกข้อมูลทางการเงินขององค์กรหรือบริษัทในระยะเวลาที่กำหนด ปกติแล้ว การปิดงบการเงินเป็นกระบวนการที่ทำขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปีหรือระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งรวมถึงการสร้างรายงานการเงินสำคัญ เช่น งบกำไรขาดทุน (Income Statement) งบการเงินสรุปผลกิจกรรมทางการเงิน (Statement of Cash Flows) และงบสมดุล (Balance Sheet) ซึ่งเป็นเอกสารที่สำคัญในการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินธุรกิจขององค์กร เพื่อสร้างรายงานการเงินสรุปผลกำไรหรือขาดทุนและสภาพการเงินอื่น ๆ ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น พนักงาน  และผู้อื่นที่ให้ความสนใจด้านการเงินภายในบริษัท 

การปิดงบการเงิน สำคัญกับบริษัทขนาดไหน

สำคัญกับบริษัททุกขนาดไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เพราะงบการเงินเป็นเอกสารที่สำคัญในการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินธุรกิจขององค์กร นอกจากนี้ การปิดงบการเงินยังเป็นการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรต่อสถานะทางการเงินขององค์กรและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ 

องค์กรขนาดใหญ่ อาจมีทีมงานการเงินภายในที่รับผิดชอบในการปิดงบการเงิน โดยมีบัญชีและผู้เชี่ยวชาญทางการเงินภายในที่เป็นผู้รับผิดชอบภายในระบบ  องค์กรที่ใหญ่ขนาดยังมักมีความซับซ้อนในการดำเนินการทางการเงิน ซึ่งอาจต้องรวมกับข้อมูลทางการเงินจากสาขาหรือธุรกิจย่อยต่างๆ ภายในบริษัท 

สำหรับบริษัทขนาดเล็ก หรือร้านค้าขนาดเล็ก อาจใช้บริการจากผู้ที่มีความชำนาญในการบัญชีและการเงินภายนอกแทน อย่าง บริษัทที่ให้บริการด้านบัญชี บริการที่ปรึกษาการเงิน หรือบริษัทตรวจสอบและปิดงบการเงิน (Audit and Accounting Firms) เข้ามาทำแทน เนื่องจากการจ้างพนังงานการเงินเข้ามา อาจไม่คุ้มทุนที่ต้อเสียให้แบบรายเดิน การจ้างบรษัทภายนอก ถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดนั่นเอง 

ขั้นตอนการปิดงบการเงินปกติประกอบด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

ขั้นตอนการปิดงบการเงินอาจมีความหลากหลายและขึ้นอยู่กับลักษณะและขนาดขององค์กร แต่ขั้นตอนที่กล่าวมาเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ถูกนำมาใช้ในหลายองค์กรเพื่อปิดงบการเงินและสร้างรายงานการเงิน ก่อนส่งสรรพกรดท่านั้น

  1. รวบรวมข้อมูลการเงิน เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทางการเงินที่จำเป็น เช่น ใบบันทึกการเงิน (financial transactions), รายงานการเงินรายเดือน/รายไตรมาส, รายงานการเงินของส่วนต่างๆ ในองค์กร เป็นต้น
  2. การบันทึกข้อมูล ข้อมูลการเงินภาษีซื้อ-ขายที่รวบรวมมาจะต้องถูกบันทึกในระบบบัญชีขององค์กร โดยใช้วิธีการบัญชีที่ถูกต้องและเป็นไปตามหลักการบัญชีที่กำหนด
  3. การตรวจสอบการเงินที่เดินบัญชี หรือ Statement ในขั้นตอนนี้จะตรวจสอบข้อมูลการเงินที่บันทึกไว้ว่าถูกต้องและครบถ้วนหรือไม่ และทำการปรับปรุงหากพบข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
  4. เริ่มสร้างรายงานการเงิน หลังจากที่ข้อมูลการเงินถูกตรวจสอบและปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว จะทำการสร้างรายงานการเงินต่างๆ เช่น งบกำไรขาดทุน, งบการเงินสรุปผลกิจกรรมทางการเงิน, และงบสมดุล
  5. การตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบภายนอก (หากมี) บริษัทหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายในการตรวจสอบและปิดงบการเงินอาจมาตรวจสอบรายงานการเงินเพื่อยืนยันความถูกต้องและเชื่อถือได้  เป็นข้อมูลจัดเก็บสำหรับกิจการต่อไป ไม่น้อยกว่า 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด
  6. การส่งงบ รายงานการเงินที่สร้างขึ้นจะถูกนำส่งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมกสรรพากรภายใน 150 วัน นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี

การปิดงบการเงินในองค์กรมักมีความซับซ้อนและจำเป็นต้องมีผู้ที่มีความรู้และความชำนาญในการบัญชีและการเงินมารับผิดชอบ บางองค์กรอาจมีทีมงานการเงินภายในที่รับผิดชอบในการปิดงบการเงิน ในขณะที่องค์กรอื่นๆ อาจเลือกที่จะจ้างบริษัทการเงินภายนอกแทน เพื่อลดค่าใช่จ่ายที่ไม่จำเป็นกับบริษัท

ทำความรู้จัก การวางแผนการเงิน ที่สามารถทำให้ธุรกิจก้าวไปถึงความสำเร็จ

การวางแผนการเงินหมายถึงกระบวนการจัดการเงินให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ แน่นอนว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของธุรกิจ ตั้งแต่เล็กไปจนถึงใหญ่  การวางแผนการเงินจะช่วยให้เราสามารถกำหนดเป้าหมายการใช่จ่ายเงินที่ต้องการบบแบบระยะยาว และยังช่วยให้สามารถสร้างยุทธศาสตร์เพื่อทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริงได้เร็วมากขึ้น เหมือนเป็นทางสูตรลัพธ์ ที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง

การวางแผนการเงิน ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างไร 

การวางแผนการเงิน มีข้อดีหลายอย่าง เช่น:

การมีความชัดเจนในเป้าหมายการเงิน

การวางแผนการเงินช่วยให้เราสามารถกำหนดเป้าหมายการเงินที่ชัดเจนและเหมาะสมกับทุนในช่วงนั้นๆ ที่สำคัญยังช่วยกำหนดเป้าหมายการออมเงินหรือการลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย การที่เรามีแนวทางที่ชัดเจน ช่วยให้เรามีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมากขึ้น รู้ว่าเงินแต่ละส่วนต้องไปทางไหน ทำให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

การควบคุมและการจัดการเงิน

การวางแผนการเงินช่วยให้คุณมีการควบคุมและการจัดการเงินที่ดีขึ้น สามารถตรวจสอบรายได้และรายจ่ายได้แบบเรียวไทม์และตลอดเวลาทำให้รู้จุดผิดพลาดได้เร็ว และสร้างแผนการชำระหนี้ภาษีตามกฏหมายได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญยังช่วยให้ประหยัดเงินและสามารถนำส่วนต่างมาเพิ่มมูลค่าเงินได้อีกด้วย

 การเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน

การเตรียมพร้อมเรื่องการเงิน กองเงินฉุกเฉิน เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่งมากที่จะสามารถทำให้เราเดินหน้าไปถึงความสำเร็จของธุรกิจได้อย่างราบรื่น กองทุนฉุกเฉินมี เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสูญเสียงาน การเจ็บป่วย หรือภัยพิบัติ การมีแผนการเงินชัดเจนช่วยให้เราไม่ต้องหาทางออกใหม่ อย่างการกู้ยืมเงิน หรือวางที่ค้ำประกัน จุดนี้เลย ทำให้เราสามารถโล่งใจการใช้เงินส่วนนี้ในการบริหารได้ 

การสร้างมูลค่าเงินในระยะยาว

การออมเงิน หรือลงทุนในทรัพย์สินที่เติบโตมูลค่า เช่น การลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในอนาคต การวางแผนการเงินช่วยให้คุณมีความรู้สึกสบายใจว่าคุณกำลังสร้างความมั่งคั่งให้กับงาน ทั้งกับตัวเองครอบครัว และองค์กร

ลดความเครียดทางการเงิน

เมื่อมีการวางแผนที่ดี รู้ว่าเงินอต่ละส่วนต้องกระจายไปตรงไหน เงินสำรองที่ต้องเก็บมีเพียงพอสำหรับธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ เราก็จะรู้สึกสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งเครียด ว่าเงินก้อนนี้ต้องเอาไปลงทุนส่วนไหน หรือชักหน้าไม่ถึงหลัง นอกจากนี้ การวางแผนเพื่อเตรียมการเงินในอนาคตยังช่วยให้คุณมีความมั่นใจในการเดินทางสู่อนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งและสมดุล

การวางแผนการเงิน มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากมันช่วยให้เราควบคุมและจัดระเบียบทิศทางของเงินได้ดียิ่งขึ้น แถมยังในเรื่องของการ บริหารจัดการรายได้และรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการตั้งกองทุนฉุกเฉิน  ช่วยสร้างมูลค่าเงินสะสมและเพิ่มมูลค่าเงินให้กับเงินออมได้แบบระยะยาว เท่านี้การเดินทางของธุรกิจก็พร้อมที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จแล้ว 

ลงทุนอะไรดี ให้มีกำไร ปี 2566

การลงทุนในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในภาคส่วนต่างๆ มีศักยภาพในการเติบโตสูง ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสมากมายสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งบุคคลทั่วไป 

การลงทุนนั้นไม่มีข้อกำจัด เรื่องของเงินว่าต้องลงทุนที่เท่าไหร่ และเราจะมาแนะนำการลงทุนต่างๆ ที่สามารถสร้างกำไรได้ ด้วยการยกตัวอย่างการลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทสามารถทำอะไรได้บ้างและผลกำไรจะออกมาเป็นยังไง แต่อันดับแรกที่เราต้องรู้เลยคือการลงทุนต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง

ข้อควรพิจารณาก่อนเริ่มการลงทุน

  1. เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็น 

เงินเย็นเป็นเงินที่ได้จากการเหลือเก็บ เป็นเงินที่ไม่จำเป็นต้องนำไปใช้จ่ายอะไร แต่ถ้ายังมีพัธที่อาจจะต้องใช้เงินตรงนี้แนะนำให้อย่าพึ่งลงทุนจะดีกว่า

  1. ต้องมีเงินสำรอง

ก่อนจะลงทุนควรมีเงินทุนสำรองไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีเงินสำรองใช้จ่ายเพียงพอ ค่อยมาลงทุน และจะได้ไม่เสี่ยงไปกู้เงินหรือยืมเงินคนอื่นอีกด้วย

  1. ลงทุนไปเพื่ออะไร

หาเป้าหมายในการลงทุน เพื่อที่จะได้จัดสรรปันส่วนของการลงทุนออกได้อย่างถูกจุด และตรงความต้องการ เช่น ใช้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือไว้จัดงานแต่งงาน

  1. ต้องการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

คำนวณระยะเวลาที่ต้องการลงทุน เพื่อนำมาพิจารณาว่าเราควรเลือกลงทุนกับอะไร ลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว จะได้ไม่ลงทุนผิดประเภท

  1. พร้อมรับความเสี่ยงไหม

เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ทั้งเสี่ยงที่จะได้กำไรสูง และเสี่ยงที่จะขาดทุนจนหมด จึงควรคิดและพิจารณาให้ดีก่อนว่าต้องการลงทุนไหม และลงทุนกับอะไรที่เราจะรับความเสี่ยงได้ไหว

แล้วถ้ามีงบ 10,000 บาทควรเลือกลงทุนอะไร

ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าด้วยเงิน 10,000 บาท อาจจะยังไม่สามารถทำกำไรให้ผลตอบแทนที่สูงมาก ได้ แต่อาจจะทยอยเก็บผลกำไรสะสมไว้ เมื่อเวลาผ่านไปจึงค่อยนำเงินจากการทำกำไรนั้น มารวมเป็นก้อนใหญ่แล้วนำไปลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตามวิธีต่างๆที่เราจะแนะนำต่อไปนี้

  1. พันธบัตรรัฐบาล 

หรือพันธบัตรออมทรัพย์ ออกโดยกระทรวงการคลัง เป็นตราสารหนี้ เพื่อกู้เงินจาก ปชช. โดยส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี ดอกเบี้ย 2% สูงสุด 4% แล้วแต่ระยะเวลา ยิ่งนานยิ่งมีดอกเบี้ยสูง ผลตอบแทนจะไม่สูงมาก แล้วแต่อายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้จะถูกหักด้วยภาษี ณ ที่จ่าย 15% 

  1. ออมทอง

การออมทองเป็นการลงทุนที่ง่าย เพราะสามารถลงทุนหลักร้อยหลักพันได้ ตามเงื่อนไขของร้านทองที่เราเลือก และเมื่อออมทองจนครบกำหนด ก็สามารถถอนทองออกมาได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านก็ได้ แต่ต้องเลือกร้านให้ดี และเลือกร้านที่เงื่อนไขเหมาะสมกับเรา แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งผลดีและผลเสียเพราะต้องวัดจากราคาทองว่าอยู่ขาขึ้นหรือขาลง

  1. การซื้อหุ้น

ด้วยงบ 10,000 บาทก็สามารถลงทุ้นกับการซื้อหุ้นได้ แต่ก็จะมีตัวเลือกให้น้อยมากตามงบ และการซื้อขายหุ้นก็ยังมีคาธรรมเนียมและภาษีที่จะถูกหักอีก เพราะฉะนั้นการลงทุนซื้อหุ้นจะไม่เหมาะสำหรับการเร่งรีบซื้อมา ขายไป เพราะอาจทำให้ขาดทุนหนัก อาจใช้วิธีซื้อทิ้งไว้ เพื่อให้ได้รับผลกำไรจากเงินปันผล หรือส่วนต่างของราคาได้ แต่การลงทุนกับหุ้นจำไว้ว่ามีความเสี่ยง 10-20% เลยที่จะขาดทุน ถ้าจะลงทุนกับหุ้นจริงๆ ขอแนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับหุ้นที่เราจะซื้อให้ดีก่อนตัดสินใจ

  1. ฝากเงินในบัญชี

วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเสี่ยงขาดทุน ให้นำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงๆ ปัจจุบัน มีการฝากทั้งแบบออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ ที่สามารถรับดอกเบี้ยได้มากถึง 3% ต่อปี ถ้านำเงินไปฝากไว้และไม่ถอนออกมาเลย เช่น

  • ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 150 บาท
  • ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 300 บาท
  • ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 450 บาท
  1. การลงทุนสร้างกิจการ

การลงทุนค้าขายหรือทำกิจการเล็กๆ ของตัวเอง เป็นสิ่งที่สามารถเลือกทำตามความถนัดหรือความต้องการของตัวเองได้ เป็นนายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น

  • กิจการขายอาหาร ขนม เบเกอรี่่
  • กิจการขายเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ
  • ซื้อแฟรนไชส์ที่เราสนใจ
  • บริการดูแลสัตว์เลี้ยง 

แต่การเป็นนายตัวเองก็แลกมากับความเหนื่อยที่มากขึ้น เพราะต้องลงทุน ลงแรงเอง และต้องสู้ด้วยความขยัน ถ้าเราทำได้ถูกทางผลตอบแทนก็จะดีตาม


และที่เราได้ยกตัวอย่างมาให้อ่านนี้ก็คือสิ่งที่ควรรู้ก่อนการลงทุน ว่าถ้าเรามีเงินแค่ 10,000 บาท เราควรที่จะลงทุนไหม และควรที่จะลงทุนกับอะไรเพื่อให้ เกิดผลประโยชน์สูงสุดสำหรับเรา

Education Template

Scroll to Top