ปี: 2023

ทำไมต้องจ้างสำนักงานบัญชี ทั้งที่มีโปรแกรมบัญชีอยู่แล้ว

องค์กรหลายแห่งในปัจจุบันน่าจะมีฝ่ายจัดทำบัญชีกันเองอยู่แล้ว รวมถึงบางองค์กรก็มีการใช้ โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป เพื่อให้มีความง่ายต่อการจัดการกันเอง เพราะโปรแกรมบัญชีก็มีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจนและรอบด้าน ทั้งการทำบัญชี การออกใบเสนอราคา ซื้อ-ขาย และบันทึกรายการบัญชีต่างๆ แต่ถึงจะมีข้อดีรอบด้านขนาดนี้ องค์กรก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้งาน สำนักงานบัญขี อยู่ดี เพราะหลักๆ การปิดงบประมาณนั้น จำเป็นต้องให้นักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นฝ่ายจัดการ ซึ่งเป็นกฏระเบียบทื่สรรพากรกำหนดในมีนักบัญชีลงนามรายงานเพื่อจัดส่งภาษี

บทบาทของ สำนักงานบัญชี คืออะไร

1. บันทึกบัญชีและจัดทำงบการเงิน

งานหลักของสำนักงานบัญชีคือการบันทึกบัญชีและจัดทำงบการเงิน ซึ่งรวมถึงการบันทึกรายการทางบัญชีต่าง ๆ เช่น รายการรายได้ รายการค่าใช้จ่าย รายการสินทรัพย์ รายการหนี้สิน และรายการทุน การจัดเตรียมงบการเงินเพื่อแสดงฐานะทางการเงิน ผลการดําเนินงาน และการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของกิจการ

2. ตรวจสอบบัญชี

สำนักงานบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของกิจการ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลทางการเงินที่จัดทำขึ้นนั้นถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีและภาษีอากร

3. ให้คำปรึกษาด้านบัญชีและภาษี

สำนักงานบัญชีให้คำปรึกษาแก่กิจการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีและภาษี เช่น การเลือกวิธีการบันทึกบัญชี การจัดโครงสร้างทางการเงิน วางแผนภาษี และปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

และให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีและภาษี สำนักงานบัญชีอาจให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีและภาษี เช่น ยื่นแบบภาษี จัดทำเอกสารทางภาษี จัดทำทะเบียนทรัพย์สิน และจัดทำรายงานทางการเงิน

ข้อดีจากการจ้างสำนักงานบัญชี

1. ประหยัดเวลาและบุคลากรในการทำงาน

ไม่ต้องเสียเวลาและบุคลากรไปกับการจัดทำบัญชีและภาษี ซึ่งสามารถทุ่มเทเวลาไปกับการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.  ป้องกันความเสี่ยงในการถูกปรับและด้านกฏหมาย

สำนักงานบัญชีมีผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีที่จะช่วยตรวจสอบและจัดทำเอกสารทางบัญชีและภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและเสียค่าปรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3.  ป้องกันการทุจริตภายในองค์กร

ลดการทุจริตด้านการเงิน จากการทำบัญชีภายในบริษัท ด้วยตรวจสอบบัญชีจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการรีเช็คข้อมูลการซื้อขาย

4. ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

สำนักงานบัญชีสามารถให้คำปรึกษาแก่เจ้าของกิจการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีและภาษี เช่น การเลือกวิธีการบันทึกบัญชี การจัดโครงสร้างทางการเงิน วางแผนภาษี และปฏิบัติตามกฎหมาย

ถ้าคุณกำลังมองหาโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปที่มีรูปแบบการทำงานตรงกับความต้องการที่สำนักงานบัญชีต้องการในการทำเอกสารเกี่ยวกับภาษี หรือรูปแบบบัญชีที่ไร้ขีดจำกัด เราขอแนะนำ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะช่วยจัดการงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีและบัญชีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง สนใจเข้าใช้บริการโปรแกรมบัญชี AccCloud สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : acccloud.tech 

7 เหตุผล ก่อนเลือกใช้โปรแกรมบัญชี สำหรับสำนักงานบัญชี

สำนักงานบัญชี เป็นสำนักงานที่มีหน้าที่ในการจัดทำบัญชีให้กับบริษัทอื่นๆ ที่ได้เข้ามาว่าจ้าง โดยมีหน้าที่หลักๆ อาทิเช่น การับจ้างทำบัญชี ยื่นภาษี ปิดงบประมาณ โดยเป็นบริการที่ครบวงจร สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาคนดูแลบัญชีของบริษัท แต่การเป็นบริษัทบัญชีนั้น อาจจะมีแค่กำลังคนในการทำงานต่างๆ ทำให้ปัจจุบันหลายสำนักบัญชีหันมาใช้โปรแกรมบัญชีเพิ่มเข้ามา เพื่อให้การทำงาานออกมามีประสิทธิภาพสูงขึ้น และไม่มีข้อผิดพลาด เราจะพามาดูว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้สำนักงานบัญชี ต้องหันมาใช่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป

7 เหตุผล ก่อนเลือกใช้โปรแกรมบัญชี สำหรับสำนักงานบัญชี 

1. โปรแกรมบัญชีที่ได้การรับรองมาตรฐานจากกรมสรรพากร

การรับรองมาตรฐานจากกรมสรรพากร จะช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถจัดทำเอกสารทางบัญชีและภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร 

2. โปรแกรมบัญชีที่ไม่มีข้อจำกัดในการดูแลบัญชี

โปรแกรมบัญชีที่จะเลือกใช้ไม่ควรมีข้อจำกัดในการดูแลบัญชี ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถดูแลบัญชีได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่บันทึกบัญชี จัดทำงบการเงิน ไปจนถึงการจัดทำเอกสารทางภาษี ซึ่งจะช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. โปรแกรมที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

โปรแกรมบัญชีที่ดีควรสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีปัญหาขัดข้องหรือล่มบ่อย ซึ่งจะช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและทันต่อเวลา และควรใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 1 ปี

4. สามารถ Export ข้อมูลออกมาในรูปแบบของ Excel ได้

การ Export ข้อมูลออกมาในรูปแบบของ Excel ได้ ซึ่งจะช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถนำไปใช้งานต่อได้ง่าย เช่น นำไปวิเคราะห์ข้อมูลหรือนำส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

5. เลือกโปรแกรมที่ไม่จำกัดการสร้างและจัดการรูปแบบการเงิน

ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถออกแบบรูปแบบการเงินให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้

6. เลือกโปรแกรมที่มีทีม Support ดูแล

โปรแกรมบัญชีที่เลือกควรมีทีม Support คอยดูแลช่วยเหลือการใช้งาน ช่วยให้สำนักงานบัญชีสามารถใช้งานโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

7. บริการหลังการขาย

บริการหลังการขายที่ครอบคลุม เช่น การอัปเดตเวอร์ชันใหม่ การแก้ไขปัญหาการใช้งาน การอบรมการใช้งาน เป็นต้น

ถ้าคุณกำลังมองหาโปรแรกมบัญชีสำเร็จรูปที่มีรูปแบบการทำงานตรงกับความต้องการที่สำนักงานบัญชีต้องการในการทำเอกสารเกี่ยวกับภาษี หรือรูปแบบบัญชีที่ไร้ขีดจำกัด เราขอแนะนำ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะช่วยจัดการงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีและบัญชีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง สนใจเข้าใช้บริการโปรแกรมบัญชี AccCloud สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : acccloud.tech 

องค์กรแบบไหนที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP

รูปแบบการทำงานในแต่ละองค์กรก็จะมีรูปแบบวิธีการทำงานที่แตกต่างกันออกไปซึ่งซอฟต์แวร์ ERP ก็คือระบบการวางแผนทรัพยากรภายในองค์กร ทั้งเรื่องการเงิน การผลิต การดูแลข้อมูลลูกค้า การจัดการระบบพนักงาน จนถึงการจัดการเรื่องของภาษีต่างๆ แค่นี้ก็รับรู้ได้แล้วว่าการใช้ ERP มีความสำคัญมากแค่ไหน แล้วทำไมต้องใช้และองค์กรแบบไหนที่มีความจำเป็นต้องใช้ ERP มีคำตอบให้ครับ

ทำไมถึงต้องใช้ซอฟต์แวร์ ERP

การตัดสินใจใช้ซอฟต์แวร์ ERP สามารถมอบประโยชน์มากมายให้แก่องค์กร และต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมองค์กรถึงต้องหันมาใช้ซอฟต์แวร์ ERP

1. กระบวนการทำงานแนวธุรกิจ

ซอฟต์แวร์ ERP เป็นการรวมกระบวนการทางธุรกิจ ในแผนกต่างๆ ที่มีภายในองค์กร มาผนวกเชื่อมต่อการทำงานเข้าด้วยกัน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกส่งต่อได้อย่างราบรื่นระหว่างแผนกต่างๆ ช่วยลดความผิดพลาดของข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น สามารถเชื่อมโยงการเงิน ทรัพยากร การผลิต และฟังก์ชันอื่นๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดมุมมองแบบองค์รวมของธุรกิจทั้งหมด

2. ความถูกต้องของข้อมูลและการตัดสินใจ

ด้วยการเพิ่มเข้ามาของระบบ ERP จะช่วยเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและจัดเก็บข้อมูลไว้ในพื้นที่จัดเก็บได้ ด้วยฟังก์ชั่นนี้จะเพิ่มความแม่นยำของการรายงานและใช้ประกอบกระบวนการตัดสินใจ ด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้แบบเรียลไทม์(real time) ทำให้ผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจสามารถดูข้อมูลประกอบได้ โดยมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

3. เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ด้วยการทำงานและกระบวนการจัดการแบบอัตโนมัติ ช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้จากการทำงานด้วยตัวเองและลดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด ระบบอัตโนมัตินี้นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั่วทั้งองค์กร พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และระบบ ERP จะจัดการกิจกรรมที่ต้องทำซ้ำและใช้เวลานาน ทำให้ประหยัดต้นทุนและประหยัดเวลาในการทำงานได้ดี

4. การบริการลูกค้าได้เต็มประสิทธิภาพ

ระบบ ERP มักจะมีโมดูล (Module) การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถจัดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัย ช่วยให้พนักงานสามารถปรับปรุงข้อพิจารณาต่างๆ ให้บริการได้ดีขึ้น ติดตามปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า และตอบคำถามได้ทันที เพราะการบริการลูกค้าที่ได้รับการปรับปรุงสามารถนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

5. ความยืดหยุ่นในการทำงาน

ระบบของซอฟต์แวร์ ERP ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของธุรกิจ เมื่อองค์กรของคุณเติบโตขึ้น ระบบ ERP สามารถปรับขนาดเพื่อรองรับข้อมูล ผู้ใช้ และความซับซ้อนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน 

องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP

แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าองค์กรแบบไหนที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดขององค์กร ประเภทของธุรกิจ กระบวนการทำงาน และความซับซ้อนของข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP ได้แก่

องค์กรที่มีขนาดใหญ่หรือกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

องค์กรที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีการจัดการที่ใหญ่ตามไปด้วยด้วยเรื่องของข้อมูลการทำงานต่างๆ ความซับซ้อนของข้อมูล หรือองค์กรที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็มักมีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับข้อมูลจำนวนมาก ทำให้การใช้ซอฟต์แวร์ ERP จะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และช่วยให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจน

องค์กรที่มีการทำงานที่ซับซ้อน

รูปแบบของการทำงานที่ซับซ้อน เช่น ธุรกิจการผลิต ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการ ควรที่จะใช้เลือกการใช้ซอฟต์แวร์ ERP อย่างมาก เพราะจะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน และช่วยให้ผู้บริหารสามารถควบคุมกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์กรที่ต้องการปรับปรุงรูปแบบการทำงาน 

องค์กรที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การขาย การเงิน หรือทรัพยากรบุคคล การใช้ซอฟต์แวร์ ERP จะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุน และช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ในตลาดอย่างมีแบบแผน

และนี้ก็เป็นรูปแบบขององค์กรเบื้องต้น ที่ควรหันมาใช้ ระบบ ERP แต่ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดเล็กหรือองค์กรที่มีกระบวนการทำงานไม่ซับซ้อนก็สามารถใช้ซอฟต์แวร์ ERP ได้เช่นกัน เพียงแต่อาจต้องเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับขนาดและความต้องการขององค์กรเท่านั้นเอง และนอกจากเหตุผลในข้างต้นแล้ว องค์กรต้องเริ่มพิจารณาความพร้อมด้านบุคลากรและงบประมาณในการนำซอฟต์แวร์ ERP มาใช้ด้วย โดยควรมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในซอฟต์แวร์ ERP เพื่อที่จะสามารถนำซอฟต์แวร์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการลงทุนซอฟต์แวร์และค่าบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง

สรุปได้ว่า องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP คือ องค์กรที่มีขนาดใหญ่หรือเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์กรที่มีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน หรือองค์กรที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ละองค์กรควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ข้างต้นประกอบกัน เพื่อเลือกซอฟต์แวร์ ERP ที่เหมาะกับความต้องการและเหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนย้ายมาใช้ระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูป

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกๆ ด้านของชีวิต การทำบัญชีก็เช่นกัน จากเดิมที่ต้องใช้สมุด บัญชีและเครื่องคิดเลขในการบันทึกรายรับ-รายจ่าย แต่ปัจจุบันมีระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูปที่ช่วยให้การทำบัญชีเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะย้ายมาใช้ระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูป มีสิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

สิ่งต้องรู้เมื่อต้องย้ายมาใช้ระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์

1. สำรองข้อมูลบัญชีเดิม

ก่อนที่จะย้ายข้อมูลบัญชีไปยังระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูป คุณควรสำรองข้อมูลบัญชีเดิมของคุณไว้ก่อน เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น

2. จัดหมวดหมู่บัญชี

การจัดหมวดหมู่บัญชีจะช่วยให้คุณสามารถจัดการและค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น โดยคุณสามารถจัดหมวดหมู่บัญชีตามประเภทของรายรับ-รายจ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าใช้จ่ายทางการเงิน เป็นต้น

3. กำหนดสิทธิ์การเข้าถึง

ระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูปส่วนใหญ่จะให้คุณกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้ โดยคุณสามารถกำหนดสิทธิ์ให้กับผู้ใช้แต่ละคนว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนใดได้บ้าง

4. ทดลองใช้ระบบ

ก่อนที่จะเริ่มใช้งานระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูปจริง คุณควรทดลองใช้ระบบก่อน เพื่อให้คุณคุ้นเคยกับการใช้งานและฟังก์ชันต่างๆ ของระบบ

5. ติดต่อฝ่ายสนับสนุน

หากคุณมีปัญหาหรือข้อสงสัยในการใช้งานระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูป คุณสามารถติดต่อฝ่ายสนับสนุนของผู้ให้บริการได้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้บริการจะมีทีมงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่จะย้ายมาใช้ระบบโปรแกรมบัญชีออนไลน์สำเร็จรูปจะช่วยให้คุณสามารถใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยให้การทำบัญชีของคุณเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

5 ธุรกิจสร้าง Passove Income มีรายได้ระยะยาว

Passive Income คือ รายได้ที่ได้รับโดยไม่ต้องมีการทำงานหรือการลงทุนลงแรงมาก มักเกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม เป็นต้น ธุรกิจที่สร้าง Passive Income มีได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคล ในที่นี้จะขอแนะนำ 5 ธุรกิจที่สร้าง Passive Income มีรายได้ระยะยาว ดังนี้

1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่สร้าง Passive Income ที่นิยมมาอย่างยาวนาน รูปแบบที่นิยม ได้แก่ การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยผู้ให้เช่าจะได้รับรายได้จากค่าเช่า ซึ่งถือเป็นรายได้ระยะยาว ความเสี่ยงของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์และสภาพเศรษฐกิจ

2.ธุรกิจการลงทุนหุ้น / กองทุนรวม

กองทุนหุ้นและกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้าง Passive Income เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องลงแรงทำงานมาก เพียงแค่ศึกษาหาความรู้และเลือกลงทุนให้ถูกจุด ก็สามารถสร้างรายได้จากเงินปันผลได้

เงินปันผลของกองทุนหุ้นและกองทุนรวมจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินต้นที่ลงทุน โดยสมมติว่าคุณต้องการมีรายได้จากเงินปันผลเดือนละ 10,000 บาท เท่ากับปีละ 120,000 บาท หากกองทุนของคุณมีอัตราปันผลรายปีอยู่ที่ 10% เท่ากับว่าคุณต้องมีเงินต้นอยู่ในกองทุนทั้งหมด 1,200,000 บาทจึงจะได้ตามที่ตั้งไว้

แต่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนทีเดียว 1,200,000 บาท สามารถทยอยลงทุนได้เรื่อย ๆ ตามจำนวนที่คุณไหว โดยอาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง

หากเลือกลงทุนกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะคล้ายกับการฝากเงินเข้าธนาคารเป็นประจำ ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะมีหาย  แถมได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอีกด้วย

3.สร้างสื่อออนไลน์สร้างรายได้แบบ Passive Income

การสร้างสื่อออนไลน์สามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ให้คุณได้ เพียงแค่คุณมีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการผลิตสื่อที่มีคุณภาพ เช่น วิดีโอ บทความ หรือบล็อก จากนั้นก็นำสื่อเหล่านั้นไปเผยแพร่บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook YouTube หรือ TikTok

เมื่อมีคนเข้าชมสื่อของคุณ เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็จะแสดงโฆษณาสอดแทรกให้กับผู้ชม ซึ่งคุณจะได้รับรายได้จากจำนวนครั้งที่โฆษณาเหล่านั้นถูกคลิกหรือถูกดู

รายได้จากการสร้างสื่อออนไลน์จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าชมและประเภทของสื่อที่คุณผลิต ยิ่งมีคนเข้าชมมากเท่าไหร่ รายได้ของคุณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ สื่อที่คุณผลิตยังสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณในระยะยาวได้อีกด้วย

4.ธุรกิจให้บริการออนไลน์

ธุรกิจให้บริการออนไลน์เป็นธุรกิจที่ให้บริการต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การทำเว็บไซต์ เขียนบทความ ออกแบบกราฟิก เป็นต้น โดยผู้ให้บริการจะได้รับรายได้จากค่าบริการ ซึ่งถือเป็นรายได้ระยะยาว ความเสี่ยงของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด

5.ธุรกิจขายสินค้าแบบ Drop shipping

Drop shipping คือการที่คุณขายสินค้าออนไลน์ โดยไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง โดยทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งสินค้า เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า คุณก็เพียงแค่แจ้งข้อมูลการจัดส่งและชำระเงินให้ผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งสินค้าเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าแทน

หากคุณมีทักษะการขายที่ดี และสนใจที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์ การขายสินค้าแบบ Drop shipping ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ คุณสามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก และมีโอกาสสร้างรายได้ได้สูง

การสร้าง Passive Income นั้นต้องใช้เวลาและการลงทุน ที่สำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

ทำความรู้จักกับผู้สอบบัญชีเขาคือใคร? และมีหน้าที่อะไรในการทำบัญชี

การทำบัญชีเป็นอาชีพที่มีความสำคัญมากในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไป หรือ ธุรกิจขนาดใหญ่ ทุกองค์กรต้องทำบัญชีเพื่อให้สามารถติดตามการเงินได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยทำให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจที่ดีที่สุดต่อธุรกิจได้ผ่านข้อมูลและรายงานทางการเงินที่ถูกต้อง ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงมีบทบาทที่สำคัญมากในการสร้างฐานข้อมูลทางการเงินขององค์กร

ผู้สอบบัญชี คือ 

ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้สามารถทำการตรวจสอบบัญชีและแสดงความคิดเห็นต่อความถูกต้องและเป็นธรรมของงบการเงินของบริษัทหรือองค์กรต่างๆ

หน้าที่ของผู้สอบบัญชี

1. ตรวจสอบความถูกต้องและเป็นธรรมของงบการเงิน โดยพิจารณาจากหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารทางการเงิน สัญญาต่างๆ และบันทึกรายการต่างๆ

2. ประเมินความเสี่ยงและระบบการควบคุมภายในของบริษัทหรือองค์กร เพื่อให้แน่ใจว่ามีการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. รายงานผลการตรวจสอบบัญชีให้แก่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทหรือองค์กร โดยแสดงความคิดเห็นต่อความถูกต้องและเป็นธรรมของงบการเงิน

4. ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงระบบการบัญชีและการควบคุมภายในของบริษัทหรือองค์กร

คุณสมบัติของผู้สอบบัญชี

1. มีความรู้ความสามารถในด้านการบัญชีและการตรวจสอบบัญชีเป็นอย่างดี

2. มีความซื่อสัตย์ สุจริต และมีจรรยาบรรณในวิชาชีพสูง

3. มีความเป็นอิสระและไม่ลำเอียงในการปฏิบัติงาน

4. มีความรอบคอบและระมัดระวังในการตรวจสอบบัญชี

5. มีความสามารถในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. มีความสามารถในการสื่อสารและนำเสนอผลการตรวจสอบบัญชีได้อย่างชัดเจน

การสอบบัญชี

ผู้ที่ต้องการเป็นผู้สอบบัญชีจะต้องผ่านการสอบ Certified Public Accountant (CPA) ซึ่งเป็นการสอบมาตรฐานที่จัดโดยสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ที่สอบผ่านการสอบ CPA จะได้รับการรับรองให้เป็นผู้สอบบัญชีและสามารถประกอบวิชาชีพผู้สอบบัญชีได้

บทบาทของผู้สอบบัญชี

ผู้สอบบัญชีมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในความถูกต้องและเป็นธรรมของงบการเงินของบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ลงทุน ผู้ให้กู้ และผู้ใช้ข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ผู้สอบบัญชีช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลทางการเงินสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

ผู้สอบบัญชีมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้ข้อมูลทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนและเจ้าหนี้ ซึ่งข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้องและเป็นธรรมจะช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลเหล่านี้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ผู้สอบบัญชีจึงเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบอิสระที่ช่วยให้ผู้ใช้ข้อมูลทางการเงินสามารถวางใจได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความถูกต้องและเป็นธรรม

ทำไม โปรแกรมบัญชีออนไลน์ จึงเป็นเหมือนผู้ช่วยนักบัญชีให้ทำงานได้ดี

ราวกับได้ยินมาบ่อยๆ ในยุคปัจจุบันนี้การทำงานอัตโนมัติและการใช้เทคโนโลยีเพื่อประหยัดเวลา บริหารจัดการข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานกำลังเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือเล็ก ทุกกิจการต้องการเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมืออาชีพ โปรแกรมบัญชีออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการบำรุงรักษาการทำงานของนักบัญชี และเหมือนเป็นผู้ช่วยที่คอยช่วยให้นักบัญชีสามารถทำงานได้ดีในด้านต่างๆ 

ข้อดีของโปรแกรมบัญชีออนไลน์

1. เพิ่มความสะดวกสบายในการทำงาน 

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ช่วยลดภาระงานของนักบัญชีได้อย่างมาก เนื่องจากสามารถทำงานบางส่วนอัตโนมัติได้ ทำให้นักบัญชีสามารถประหยัดเวลาในการทำงานได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างรายงานการเงินอย่างรวดเร็วและง่ายดายได้ เพียงแค่คลิกเดียวก็สามารถมองเห็นภาพรวมของสถานะการเงินของธุรกิจได้อย่างง่ายดาย

2. ลดความผิดพลาดในการบัญชี

การทำงานที่มีการแปรผันเปลี่ยนการเงินและกฎระเบียบมากมาย อาจทำให้การจัดเก็บข้อมูลและการคำนวณผิดพลาดได้ง่ายๆ กิจการที่ใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์จะได้รับประโยชน์ในการลดความผิดพลาดในการบัญชี เนื่องจากโปรแกรมสามารถจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกและทำคำนวณอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทางการเงินที่ได้รับคือข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้

3. การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายขึ้น

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ห้องสำนักงานหรือเครื่องคอมพิวเตอร์เดียวเท่านั้น เราสามารถดูข้อมูลได้จากอุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ซึ่งช่วยให้สะดวกและเหมาะสมกับการทำงานในยุคปัจจุบันที่เกิดการเคลื่อนย้ายไปมาอยู่ตลอดเวลา

4. ความปลอดภัยของข้อมูล

โปรแกรมบัญชีออนไลน์มีระบบสำรองข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูง เราไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลทางการเงินที่จะสูญหายหรือถูกโจรกรรม เนื่องจากข้อมูลของธุรกิจของเราจะถูกจัดเก็บในคลังข้อมูลออนไลน์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

5. การบริการลูกค้าที่ดี

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ไม่ใช่เพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การบัญชีเป็นไปได้ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกที่สนับสนุนและให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ หากมีคำถามหรือข้อสงสัย คุณสามารถติดต่อสนับสนุนลูกค้าได้ตลอดเวลา ทำให้คุณได้รับการช่วยเหลือและแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมอย่างมืออาชีพ

6. ประหยัดทรัพยากร 

โปรแกรมบัญชีออนไลน์ช่วยให้การทำงานของธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้กระดาษในการทำงานและการเก็บข้อมูลทางการเงิน ซึ่งทำให้ประหยัดทรัพยากรและส่งเสริมความยั่งยืนในธุรกิจ

เพื่อสนับสนุนการทำงานของนักบัญชีให้สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แนะนำได้ว่าควรเลือกใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ที่มีคุณภาพและความเชื่อถือได้ โดยเลือกตรงกับความต้องการของธุรกิจและรูปแบบการทำงานของนักบัญชี อย่างน้อย 6 ข้อดีดังกล่าวเป็นข้อเสนอแนะที่ไม่ควรมองข้ามหากต้องการปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ร่วมมาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานให้เป็นขั้นตอนง่ายๆ สะดวกและมีประสิทธิภาพกับโปรแกรมบัญชีออนไลน์อันทันสมัย!

แนะนำ 4 แพลตฟอร์มสำหรับเริ่มต้นขายของออนไลน์

ในปัจจุบัน การขายของออนไลน์เป็นช่องทางการทำธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวาง และสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผู้เริ่มต้นขายของออนไลน์ การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น และประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย มีดังนี้

1. Facebook Marketplace

Facebook Marketplace เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากมีผู้ใช้งาน Facebook เป็นจำนวนมาก ใช้งานง่าย และไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านค้า

2. Instagram Shop

Instagram Shop เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่ได้รับความนิยมรองลงมาจาก Facebook Marketplace เนื่องจากผู้ใช้งาน Instagram นิยมใช้เพื่อติดตามข่าวสารและความบันเทิง จึงมีโอกาสที่จะเห็นร้านค้าของผู้ประกอบการมากขึ้น

3. LINE Shopping

LINE Shopping เป็นแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากผู้ใช้งาน LINE นิยมใช้เพื่อติดต่อสื่อสารและสั่งซื้อสินค้าผ่าน LINE

4. Shopee/lazada /tiktok 

Shopee, Lazada และ TikTok Shop เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย โดย Shopee ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ตามมาด้วย Lazada และ TikTok Shop ตามลำดับ

Shopee เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 60% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมด Shopee ได้รับความนิยมเนื่องจากมีจุดแข็งในด้านต่างๆ ดังนี้

  • มีผู้ใช้งานจำนวนมาก โดย ณ เดือนตุลาคม 2566 มีผู้ใช้ Shopee ในประเทศไทยมากกว่า 60 ล้านคน
  • มีโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
  • ใช้งานง่าย และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวาง

Lazada เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมรองลงมา โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 30% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมด Lazada ได้รับความนิยมเนื่องจากมีจุดแข็งในด้านต่างๆ ดังนี้

  • มีผู้ใช้งานจำนวนมาก โดย ณ เดือนตุลาคม 2566 มีผู้ใช้ Lazada ในประเทศไทยมากกว่า 50 ล้านคน
  • มีสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือกสรร
  • ให้บริการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

TikTok Shop เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซน้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 10% ของตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมด TikTok Shop ได้รับความนิยมเนื่องจากมีจุดแข็งในด้านต่างๆ ดังนี้

  • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่
  • เน้นการซื้อขายสินค้าผ่านวิดีโอแบบไลฟ์สด
  • มีโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ดึงดูดใจ

สำหรับผู้ประกอบการที่เริ่มต้นขายของออนไลน์ สามารถเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของตนเอง โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ได้เลย

รู้จักฐานข้อมูล Big Data ตัวช่วยธุรกิจ Marketplace Online

ฐานข้อมูลของ Big Data แปลตรงตัวก็คือฐานข้อมูลใหญ่ หรือฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากยุคก่อนๆ ที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้วิธีการบันทึกข้อมูลด้วยการจดหรือ Mannual เพราะยังไม่มีระบบคลาวด์ออนไลน์ ทำให้หาข้อมูลก็ยาก และยังเสี่ยงต่อข้อมูลเสียหายหรือสูญหายอย่างมาก แต่หลังจากโลกของเราเข้าสู่ยุคดิจิตัล Big Data ก็กลายมาเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่พร้อมเก็บข้อมูลไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล ทำให้ธุรกิจไม่ว่าจะเล็ก กลาง หรือใหญ่ ก็สามารถใช้งาน Big Data ได้

ฐานข้อมูล Big Data มีข้อดียังไง 

  • ฐานข้อมูล Big Data สามารถรองรับได้ทั้งข้อมูลแบบโครงสร้าง (structured data) เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูลตัวอักษร และข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง (unstructured data) เช่น ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง ข้อมูลวิดีโอ
  • ช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูล ทำให้องค์กรเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มของตลาด และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันต่อเหตุการณ์
  • สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดต้นทุน และการเพิ่มยอดขาย จากผลของการวิเคราะห์ข้อมูล
  • วิเคราะห์การแข่งขันขององค์กรที่ใช้ฐานข้อมูล Big Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัดความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่ง เนื่องจากสามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดและแนวโน้มต่างๆ ได้ดีกว่า

ฐานข้อมูล Big Data กับ Marketplace Online

Big Data เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่และหลากหลาย เช่น ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลสินค้าและบริการ ข้อมูลสถิติการตลาด เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ Marketplace Online ในด้านต่างๆ ดังนี้

Personalization 

ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง การเสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า เป็นต้น

Recommendation

การแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นพบสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าตามประวัติการซื้อสินค้า การแนะนำสินค้าจากความสนใจของลูกค้า เป็นต้น

Targeting 

กำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถสื่อสารและนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามความสนใจ การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ เป็นต้น

Fraud Detection

 รูปแบบการตรวจจับการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น การทุจริต การฉ้อโกง เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถปกป้องลูกค้าและทรัพย์สินของ Marketplace Online

Customer Service 

เราสามารถนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาช่วยปรับปรุงการบริการลูกค้า เช่น การตอบคำถามลูกค้า การแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจาก Marketplace Online 

และนี่ก็คือความหมายของฐานข้อมูล Big Data ว่ามีประโยชน์และใช้งานในด้านระบบ Marketplace Online ได้ยังไงบ้าง หลักๆ ก็จะเป็นการประเมินถึงคุณภาพของระบบการจัดการทั้งหมด ดูองค์รวมเพื่อประมวลผลออกมา รวมถึงการนำไปใช้ปรับปรุงการดูแลลูกค้า ว่ามีข้อควรปรับตรงไหนบ้าง หรือควรแก้ไขอะไรยังไงต่อไปในอนาคตได้

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

ต้องเริ่มเสียภาษีเงินเดือนเท่าไหร่ พร้อมทริควิธีการลดหย่อนภาษี

สำหรับมนุษย์เงินเดือนทุกคน หลังจากได้เริ่มทำงานมาได้ซักพักก็ต้องมีความคิดที่ว่า ถ้าเราทำงานแล้วต้องเริ่มเสียภาษีเงินเดือนเมื่อไหร่  แล้ววิธีการลดหย่อนภาษีให้คุ้มที่สุด บทความนี้เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับเกณฑ์การคิดภาษี ของปี 2567 แบบอย่างง่าย พร้อมวิธีการคิดแบบเสร็จสรรพ

เกณฑ์การเสียภาษีเงินเดือนสำหรับปี 2567 

เพื่อที่จะอธิบายให้เข้าใจทุกอย่างแบบง่ายๆ เราจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

1. กลุ่มที่ไม่ต้องเสียภาษี : เงินเดือนไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน และเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน)

2. กลุ่มที่ต้องยื่นภาษี แต่ไม่ต้องเสียภาษี : เงินเดือน 10,001 – 26,583 บาทต่อเดือน และเงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาทต่อปี

3. กลุ่มที่ต้องเสียภาษี : เงินเดือน 26,584 บาทขึ้นไปต่อเดือน และเงินได้สุทธิ 300,001 บาทขึ้นไปต่อปี

ทริคการลดหย่อนภาษีแบบที่คุ้มที่สุด

สำหรับคนที่กำลังสงสัยว่าวิธีการลดหย่อนภาษี สามารถใช้วิธีไหนได้บ้าง เพื่อลดหย่อนภาษีให้ได้มากที่สุด มีรายการดังนี้

  • ค่าใช้จ่าย: หักได้ 50% ของเงินได้ ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาทต่อปี
  • ประกันสังคม: หักเบี้ยประกันสังคมที่จ่ายทั้งปี
  • ประกันชีวิต: หักเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายทั้งปี สูงสุด 30,000 บาท
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: หักเงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สูงสุด 15% ของเงินเดือน
  • ค่าลดหย่อนอื่นๆ: เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าดูแลบิดามารดา ค่าจ้างพนักงาน เงินบริจาค ฯลฯ

วิธีการคำนวณภาษีแบบอย่างง่าย

ตัวอย่าง นายเอ ได้รับเงินเดือน 27,000 บาทต่อเดือน หักจ่ายประกันสังคม 750 บาทต่อเดือน และจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 15,000 บาทต่อปี

ขั้นที่ 1 คำนวณเงินได้ = 27,000 บาท x 12 เดือน = 324,000 บาท

ขั้นที่ 2 คำนวณค่าใช้จ่าย = 324,000 บาท x 50% = 162,000 บาท

ขั้นที่ 3 เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย = 324,000 บาท – 162,000 บาท = 162,000 บาท

ขั้นที่ 4 หักค่าลดหย่อน = 60,000 บาท + (750 บาท x 12 เดือน) + 20,000 บาท = 106,000 บาท

ขั้นที่ 5 ยอดเงินได้สุทธิ = 162,000 บาท – 106,000 บาท = 56,000 บาท

สรุปได้ว่า นายเอมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม่ต้องเสียภาษี

ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นวิธีการคิดอย่างง่ายเท่านั้น สำหรับข้อมูลการยื่นภาษีต่างๆ สามารเข้าตรวจสอบหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.rd.go.th และศึกษากำหนดการยื่นภาษีอยู่ช่วงไหนที่ >>>  https://www.rd.go.th/558.html <<<

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ และแบบฟอร์มเอกสารสำหรับยื่นสรรพากรที่เพรียบพร้อม เลือกเข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

Education Template

Scroll to Top