“ภาษี” คือเงินที่คนหรือธุรกิจต้องจ่ายให้รัฐหรือรัฐบาล เพื่อรองรับงบประมาณและการดำเนินกิจกรรมของรัฐ ภาษีมีบทบาทสำคัญในการเก็บเงินสำหรับรัฐเพื่อใช้ในการให้บริการสาธารณสุข การศึกษา การสร้างสถานที่สาธารณะ และอื่น ๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับประชาชน ซึ่งแต่ละประเภทของภาษีมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไป
ฐานภาษี
คือ ค่าหรือปริมาณที่ใช้เป็นพื้นฐานในการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายในภาษี ฐานภาษีสามารถเป็นรายได้ มูลค่า ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นวัตถุสภาพที่ใช้ในกระบวนการเก็บเงินภาษี โดยทั่วไปแล้ว ภาษีจะเริ่มต้นที่กลุ่มเงินได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี สูงสุดมากกว่า 5 ล้านบาทต่อปี มีวิธีคำนวณสูตรง่าย ๆ คือ
เงินได้สุทธิ = เงินได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
ภาษีที่ต้องจ่าย = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
ภาษีมีอะไรบ้าง
- ภาษีเงินได้แบบบุคคลธรรมดา และ แบบนิติบุคคล
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภาษีอากรแสตมป์
- ภาษีสรรพสามิต
วิธีการคำนวณภาษี สำหรับพนักงานเงินเดือน
- เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท : ได้รับยกเว้น
- เงินได้สุทธิ 150,001 – 300,000 บาท : อัตราภาษี 5%
- เงินได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท : อัตราภาษี 10%
- เงินได้สุทธิ 500,001 – 750,000 บาท : อัตราภาษี 15%
- เงินได้สุทธิ 750,001 – 1,000,000 บาท : อัตราภาษี 20%
- เงินได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท : อัตราภาษี 25%
- เงินได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท : อัตราภาษี 30%
- เงินได้สุทธิ 5,000,001 บาท : อัตราภาษี 35%
ค่าลดหน่อยภาษี
คือ รูปแบบหนึ่งของการลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในภาษีโดยตรง นั่นคือ ค่าลดหน่วยภาษีจะลดจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายในภาษีตรง ๆ นั่นเอง ไม่ใช่การลดรายได้ก่อนที่จะคำนวณภาษีแต่อย่างใด เช่น
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาทต่อคน (แรกเกิด – 20 ปี)
- ค่าฝากครรภ์และตลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
- ค่ากองทุนสำรองชีพ 15% ไม่เกิน 500,000 บาท
- ค่าลดหย่อนตามจริง ประกันชีวิต ไม่เกิน 100,000 บาท
- อื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม การชำระภาษีตามระยะเวลาที่กำหนด และชำระครบเป็นหน้าที่ของทุกคน เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าปรับที่เพิ่มขึ้น และช่วยให้รัฐนำภาษีไปใช้ในการพัฒนาส่วนกลาง รวมถึงบริการด้านสาธารณะต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินชีวิตได้ดีมากขึ้นนั่นเอง