เคล็ดลับธุรกิจ

ข้อดีของการเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชีกับ Shopee Lazada

การตลาดออนไลน์บน Marketplace ได้กลายเป็นเส้นทางที่สำคัญในการขายสินค้าและบริการในยุคปัจจุบัน กับการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee และ Lazada กับโปรแกรมบัญชี มีประโยชน์มากมายที่น่าสนใจทั้งสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และเล็ก นี้คือข้อดีหลักๆ ที่ผู้ประกอบการสามารถเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อ

ประโยชน์ของการเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชีกับ Shopee และ Lazada

1. ความสะดวกในการบันทึกข้อมูล การเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชีกับโปรแกรม Shopee หรือ Lazada จะช่วยลดภาระการบันทึกข้อมูลที่ต้องทำด้วยมือ เนื่องจากข้อมูลการขายและการเงินจะถูกส่งอัตโนมัติไปยังระบบบัญชี ทำให้ลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาในกระบวนการบัญชี

2. การจัดการสต็อกอัตโนมัติ การเชื่อมต่อระหว่างแพลตฟอร์ม Marketplace และโปรแกรมบัญชีช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสต็อกสินค้าได้อย่างอัตโนมัติ และถจัดการสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การบริหารจัดการบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วและอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การตรวจสอบใบกำกับภาษีและการจัดทำรายงานการเงิน

4. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะการทำงานด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์ม Shopee หรือและโปรแกรมบัญชีช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการป้อนข้อมูลด้วยมือ ทำให้มั่นใจได้ในความถูกต้องและข้อมูลจะมีความน่าเชื่อถืออย่างมาก

5. การวางแผนการเติบโต โปรแกรมบัญชีช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขายและการเงินได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การตรวจสอบรายได้จากแต่ละแพลตฟอร์ม และปรับแผนการขายหรือการจัดการการเงินต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การเชื่อมต่อโปรแกรมบัญชีกับโปรแกรม Shopee และ Lazada เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งยังอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนการทำงาน และป้องกันข้อผิดพลาด ได้เป็นอย่างดี

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหมาะกับโปรแกรม Shopee Lazada เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ ร้านค้าออนไลน์ และแบบฟอร์มเอกสารสำหรับยื่นสรรพากรที่เพรียบพร้อม เลือกเข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

มี Flow การทำงานผลิตที่ดี ช่วยให้ธุรกิจคุณเดินหน้าต่อได้มากกว่าที่คิด

ในโลกธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน การมีระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ และมีต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Flow การทำงานผลิตที่ดีมีลักษณะอย่างไร

Flow การทำงานผลิตที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้

มีการวางแผนการผลิตที่ดี

การวางแผนการผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของลูกค้า โดยการวางแผนการผลิตที่ดีจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความต้องการของลูกค้า กำลังการผลิตของธุรกิจ และต้นทุนการผลิต

มีการจัดการวัตถุดิบและสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการวัตถุดิบและสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้ โดยการจัดการวัตถุดิบและสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณความต้องการของวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง ระยะเวลาในการจัดส่ง และต้นทุนการจัดเก็บ

มีการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด

การควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ การตรวจสอบคุณภาพระหว่างกระบวนการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพสินค้าหรือบริการสำเร็จรูป

มีการจัดการกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถใช้ทรัพยากรบุคคลได้อย่างคุ้มค่าและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้ โดยการจัดการกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ทักษะและความสามารถของพนักงาน การจัดสรรงาน และการฝึกอบรมพนักงาน

มีการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม

การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุนการผลิตได้ โดยเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดธุรกิจ และงบประมาณ

ประโยชน์ของการมี Flow การทำงานผลิตที่ดี

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้รับประโยชน์ต่างๆ มากมาย เช่น

เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ลดต้นทุนการผลิต

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ โดยการลดต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง การลดต้นทุนการควบคุมคุณภาพ และการลดต้นทุนการจัดการกำลังคน

เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดได้ โดยการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นและเพิ่มยอดขายได้

เพิ่มผลกำไร

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มผลกำไรได้ โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

Flow การทำงานงานผลิตของ AccCloud

ด้านการคลังและจัดส่งมี Flow การทำงานงานผลิตดังนี้

1. Sale Leads

  • CRM
  • Lead Tracking

2. Sale Order

  • Convert to Job Order

3. Job Order

  • BOM
  • Routing

4. ใบขอเบิกเพื่อผลิต

  • Job BOM

5. ใบจัดเตรียมวัตถุดิบ

  • สรุปรายการในใบขอเบิก

6. ใบเบิกวัตถุดิบ

  • Job BOM
  • ใบขอเบิกเพื่อผลิต

7. Production Tracking

  • Routing
  • Job Order

8. ใบขอส่งผลผลิต

  • Job BOM
  • ใบเบิกเพื่อผลิต

9. ใบรับสินค้าจากการผลิต

  • Job BOM
  • ใบเบิกเพื่อผลิต

การมี Flow การทำงานผลิตที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภทในปัจจุบัน โดยการมี Flow การทำงานผลิตที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถผลิตสินค้าหรือบริการได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ และมีต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้ก่อนพลาด 3 สัญญาณเตือนว่าธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่องอยู่!

การประกอบกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่จะมีต้องมีการวางแผนทางการเงินที่ดี เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตและก้าวหน้าได้อย่างมั่นคงเสมอ ซึ่งจะต้องดูทิศทางของเศรษฐกิจ คอยปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจโดดเด่นเหนือชั้นกว่าคู่แข่ง แต่บางครั้งระหว่างการดำเนินกิจการก็อาจเกิดปัญหาจากภายนอก เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความต้องการของผู้บริโภค หรือบางครั้งก็เกิดจากปัญหาภายใน เช่น ธุรกิจไม่มีการทำบัญชี มีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระวัง มีความผิดพลาดจากการลงทุน สิ่งต่างๆ เหล่านี้เองที่ทำให้ธุรกิจเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่อง

เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนร่วมในธุรกิจ หากอยากดำเนินกิจการอย่างราบรื่น ไร้ปัญหา เราจะต้องคอยดูทิศทางความเป็นไปของธุรกิจของเราอยู่เสมอ โดยเฉพาะสัญญาณเตือนที่จะทำให้รู้สึกได้ว่าธุรกิจกำลังเกิดปัญหา สำหรับ 3 สัญญาณเตือนสำคัญ ที่เตือนว่าธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่อง มีดังนี้

1. ขาดแคลนเงินสดหมุนเวียน

เงินสดหมุนเวียน คือ จำนวนเงินสดที่เหลือจากการดำเนินธุรกิจ เมื่อคิดคำนวณถึงรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือนแล้ว หากมีเงินเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือจำนวนเงินคงเหลือติดลบ นั่นเท่ากับว่าธุรกิจของเรากำลังประสบปัญหาใหญ่ เพราะเงินคงเหลือแต่ละเดือนเปรียบเสมือนลมหายใจของธุรกิจ หากเกิดติดขัดหรือมีปัญหาใดๆ นั่นก็คือสัญญาณเตือนร้ายแรงที่บอกให้เราต้องรีบเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว

วิธีการแก้ปัญหาการขาดแคลนเงินสด แนะนำว่าควรพิจารณารายจ่ายที่มีอยู่เดิมให้ละเอียด แล้วเลือกตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อธุรกิจ แล้วจากนั้นให้เริ่มวางแผนทิศทางการตลาดใหม่ เพื่อให้ธุรกิจมีโอกาสในการเพิ่มรายรับที่มากขึ้น ซึ่งหากรายรับมากขึ้นสูงกว่ารายจ่ายมากๆ ก็จะทำให้มีเงินสดหมุนเวียนมากพอให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

2. รายการบัญชีธุรกิจไม่ชัดเจน

ความผิดพลาดหนึ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ ธุรกิจ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการทำบัญชีที่ไม่ละเอียดและชัดเจนมากพอ แม้ว่าผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจนั้นจะมีการทำบัญชีกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ก็อาจพลาดตกหล่นข้อมูลรายจ่ายบางรายการไป ทำให้ไม่สามารถคำนวณรายรับ-รายจ่ายที่ตรงกับความเป็นจริงได้ หากมีปัญหาด้านบัญชีบ่อยๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเรา ทำให้ประเมินผลกำไรไม่ถูกต้อง

3. ค้างชำระหนี้ จ่ายบิลไม่ตรงเวลา

การทำธุรกิจมักจะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการอยู่เสมอ ทั้งรายจ่ายทั่วไป ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสินค้าและบริการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนต่างๆ รายจ่ายแต่ละรายการจะมีระยะเวลากำหนดการจ่ายเงินที่แตกต่างกันไป ซึ่งหากไม่ชำระเงินให้ตรงเวลาก็จะเกิดผลกระทบกับธุรกิจได้ หากธุรกิจของเรามีแนวโน้มว่าไม่สามารถชำระเงินได้ตรงตามเวลาที่กำหนด แสดงว่าธุรกิจเริ่มมีปัญหาด้านการบริหารเงิน ทำให้ไม่สามารถจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ต้องรีบตรวจสอบบัญชีและวางแผนการเงินโดยด่วน

การเริ่มต้นธุรกิจนับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่การจะดำเนินธุรกิจให้ราบรื่นได้ตลอดนั้นยากยิ่งกว่า ถ้าเราไม่มั่นใจว่าปัจจุบันนี้ธุรกิจที่ทำอยู่กำลังดำเนินไปอย่างดีหรือไม่ ลองพิจารณาจากสัญญาณเตือนต่างๆ ทั้ง  3 ข้อข้างต้นดูนะ หากมีข้อใดข้อหนึ่งอยู่ล่ะก็ต้องรีบแก้ไขทันที ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาลุกลามจนธุรกิจเราไปต่อไม่ได้ในที่สุด สำหรับสิ่งสำคัญที่ห้ามละเลยโดยเด็ดขาดเลยก็คือการทำบัญชี เพราะเป็นวิธีที่จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจนอยู่เสมอ แนะนำว่าควรใช้โปรแกรมบัญชี ERP เข้าช่วย เพื่อให้ธุรกิจของเรามีการทำบัญชีที่ถูกต้อง ละเอียด ครบถ้วน และทำให้ธรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

6 วิธีหลีกเลี่ยงการทุจริตทางบัญชี

การทุจริตทางบัญชีเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะป้องกันหรือตรวจจับการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้ จึงขอแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงการทุจริตทางบัญชี

การทุจริตทางบัญชี เกิดได้อย่างไร ?

วิธีการต่างๆ มากมายที่นักบัญชีสามารถใช้ในการทุจริตทางบัญชีได้

  • การบันทึกรายการบัญชีที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์
  • การซ่อนหรือทำลายเอกสารสำคัญ
  • การใช้บัญชีปลอมเพื่อซ่อนรายได้หรือค่าใช้จ่าย
  • การสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกเพื่อกระทำการทุจริต

ผลกระทบของการทุจริตทางบัญชีต่อองค์กร

การทุจริตทางบัญชีสามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ในหลายๆ ด้าน เช่น

  • ทำให้ธุรกิจสูญเสียรายได้และกำไร
  • ทำให้ธุรกิจเสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ
  • ทำให้ธุรกิจถูกดำเนินคดีและต้องเสียค่าปรับ
  • ทำให้ธุรกิจล้มละลาย

6 วิธีหลีกเลี่ยงการทุจริตทางบัญชี

เพื่อหลีกเลี่ยงการทุจริตทางบัญชีของนักบัญชี ธุรกิจควรดำเนินการดังนี้

1. สร้างระบบการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ

ระบบการควบคุมภายในที่ดีจะช่วยป้องกันการทุจริตได้โดยการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของพนักงานอย่างชัดเจน การแยกหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และการตรวจสอบการทำงานของพนักงานอย่างสม่ำเสมอ

2. ตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจพบการทุจริตได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และดำเนินการแก้ไขได้ทันท่วงที

3. ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีที่มีความปลอดภัย

ซอฟต์แวร์บัญชีที่มีความปลอดภัยจะช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลบัญชีโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต

4. ให้การอบรมแก่พนักงานเกี่ยวกับการทุจริตทางบัญชี 

การให้การอบรมแก่พนักงานเกี่ยวกับการทุจริตทางบัญชีจะช่วยให้พนักงานมีความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการทุจริตและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างซื่อสัตย์สุจริต

5. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความซื่อสัตย์และความโปร่งใส

วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความซื่อสัตย์และความโปร่งใสจะช่วยให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะรายงานการทุจริตที่ตนพบเห็น

6. มีช่องทางให้พนักงานสามารถรายงานการทุจริตได้อย่างปลอดภัย

ธุรกิจควรมีช่องทางให้พนักงานสามารถรายงานการทุจริตได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกลัวการถูกกลั่นแกล้งหรือการสูญเสียงาน

ดังนั้น การทุจริตทางบัญชีเป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สามารถส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้อย่างมาก แต่ธุรกิจสามารถหลีกเลี่ยงการทุจริตได้โดยการดำเนินการตามวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น
ถ้าคุณกำลังมองหาโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปที่มีรูปแบบการทำงานตรงกับความต้องการที่สำนักงานบัญชีต้องการในการทำเอกสารเกี่ยวกับภาษี หรือรูปแบบบัญชีที่ไร้ขีดจำกัด เราขอแนะนำ “โปรแกรมบัญชี” ที่จะช่วยจัดการงานด้านเอกสารเกี่ยวกับภาษีและบัญชีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง สนใจเข้าใช้บริการโปรแกรมบัญชี AccCloud สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : acccloud.tech

องค์กรแบบไหนที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP

รูปแบบการทำงานในแต่ละองค์กรก็จะมีรูปแบบวิธีการทำงานที่แตกต่างกันออกไปซึ่งซอฟต์แวร์ ERP ก็คือระบบการวางแผนทรัพยากรภายในองค์กร ทั้งเรื่องการเงิน การผลิต การดูแลข้อมูลลูกค้า การจัดการระบบพนักงาน จนถึงการจัดการเรื่องของภาษีต่างๆ แค่นี้ก็รับรู้ได้แล้วว่าการใช้ ERP มีความสำคัญมากแค่ไหน แล้วทำไมต้องใช้และองค์กรแบบไหนที่มีความจำเป็นต้องใช้ ERP มีคำตอบให้ครับ

ทำไมถึงต้องใช้ซอฟต์แวร์ ERP

การตัดสินใจใช้ซอฟต์แวร์ ERP สามารถมอบประโยชน์มากมายให้แก่องค์กร และต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมองค์กรถึงต้องหันมาใช้ซอฟต์แวร์ ERP

1. กระบวนการทำงานแนวธุรกิจ

ซอฟต์แวร์ ERP เป็นการรวมกระบวนการทางธุรกิจ ในแผนกต่างๆ ที่มีภายในองค์กร มาผนวกเชื่อมต่อการทำงานเข้าด้วยกัน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกส่งต่อได้อย่างราบรื่นระหว่างแผนกต่างๆ ช่วยลดความผิดพลาดของข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น สามารถเชื่อมโยงการเงิน ทรัพยากร การผลิต และฟังก์ชันอื่นๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดมุมมองแบบองค์รวมของธุรกิจทั้งหมด

2. ความถูกต้องของข้อมูลและการตัดสินใจ

ด้วยการเพิ่มเข้ามาของระบบ ERP จะช่วยเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและจัดเก็บข้อมูลไว้ในพื้นที่จัดเก็บได้ ด้วยฟังก์ชั่นนี้จะเพิ่มความแม่นยำของการรายงานและใช้ประกอบกระบวนการตัดสินใจ ด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้แบบเรียลไทม์(real time) ทำให้ผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจสามารถดูข้อมูลประกอบได้ โดยมีข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

3. เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ด้วยการทำงานและกระบวนการจัดการแบบอัตโนมัติ ช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นได้จากการทำงานด้วยตัวเองและลดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด ระบบอัตโนมัตินี้นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั่วทั้งองค์กร พนักงานสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และระบบ ERP จะจัดการกิจกรรมที่ต้องทำซ้ำและใช้เวลานาน ทำให้ประหยัดต้นทุนและประหยัดเวลาในการทำงานได้ดี

4. การบริการลูกค้าได้เต็มประสิทธิภาพ

ระบบ ERP มักจะมีโมดูล (Module) การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถจัดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างปลอดภัย ช่วยให้พนักงานสามารถปรับปรุงข้อพิจารณาต่างๆ ให้บริการได้ดีขึ้น ติดตามปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า และตอบคำถามได้ทันที เพราะการบริการลูกค้าที่ได้รับการปรับปรุงสามารถนำไปสู่ความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น

5. ความยืดหยุ่นในการทำงาน

ระบบของซอฟต์แวร์ ERP ได้รับการออกแบบมาเพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของธุรกิจ เมื่อองค์กรของคุณเติบโตขึ้น ระบบ ERP สามารถปรับขนาดเพื่อรองรับข้อมูล ผู้ใช้ และความซับซ้อนทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน 

องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP

แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าองค์กรแบบไหนที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP เรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดขององค์กร ประเภทของธุรกิจ กระบวนการทำงาน และความซับซ้อนของข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP ได้แก่

องค์กรที่มีขนาดใหญ่หรือกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

องค์กรที่มีขนาดใหญ่ มักจะมีการจัดการที่ใหญ่ตามไปด้วยด้วยเรื่องของข้อมูลการทำงานต่างๆ ความซับซ้อนของข้อมูล หรือองค์กรที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็มักมีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับข้อมูลจำนวนมาก ทำให้การใช้ซอฟต์แวร์ ERP จะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล และช่วยให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจน

องค์กรที่มีการทำงานที่ซับซ้อน

รูปแบบของการทำงานที่ซับซ้อน เช่น ธุรกิจการผลิต ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการ ควรที่จะใช้เลือกการใช้ซอฟต์แวร์ ERP อย่างมาก เพราะจะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความผิดพลาดในการทำงาน และช่วยให้ผู้บริหารสามารถควบคุมกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์กรที่ต้องการปรับปรุงรูปแบบการทำงาน 

องค์กรที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การขาย การเงิน หรือทรัพยากรบุคคล การใช้ซอฟต์แวร์ ERP จะช่วยทำให้กระบวนการทำงานมีความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดต้นทุน และช่วยให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ในตลาดอย่างมีแบบแผน

และนี้ก็เป็นรูปแบบขององค์กรเบื้องต้น ที่ควรหันมาใช้ ระบบ ERP แต่ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดเล็กหรือองค์กรที่มีกระบวนการทำงานไม่ซับซ้อนก็สามารถใช้ซอฟต์แวร์ ERP ได้เช่นกัน เพียงแต่อาจต้องเลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับขนาดและความต้องการขององค์กรเท่านั้นเอง และนอกจากเหตุผลในข้างต้นแล้ว องค์กรต้องเริ่มพิจารณาความพร้อมด้านบุคลากรและงบประมาณในการนำซอฟต์แวร์ ERP มาใช้ด้วย โดยควรมีบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในซอฟต์แวร์ ERP เพื่อที่จะสามารถนำซอฟต์แวร์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการลงทุนซอฟต์แวร์และค่าบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง

สรุปได้ว่า องค์กรที่เหมาะกับการใช้ซอฟต์แวร์ ERP คือ องค์กรที่มีขนาดใหญ่หรือเติบโตอย่างรวดเร็ว องค์กรที่มีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อน หรือองค์กรที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ละองค์กรควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ข้างต้นประกอบกัน เพื่อเลือกซอฟต์แวร์ ERP ที่เหมาะกับความต้องการและเหมาะสมกับองค์กรมากที่สุด

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

5 ธุรกิจสร้าง Passove Income มีรายได้ระยะยาว

Passive Income คือ รายได้ที่ได้รับโดยไม่ต้องมีการทำงานหรือการลงทุนลงแรงมาก มักเกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม เป็นต้น ธุรกิจที่สร้าง Passive Income มีได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสนใจของแต่ละบุคคล ในที่นี้จะขอแนะนำ 5 ธุรกิจที่สร้าง Passive Income มีรายได้ระยะยาว ดังนี้

1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่สร้าง Passive Income ที่นิยมมาอย่างยาวนาน รูปแบบที่นิยม ได้แก่ การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์ เป็นต้น โดยผู้ให้เช่าจะได้รับรายได้จากค่าเช่า ซึ่งถือเป็นรายได้ระยะยาว ความเสี่ยงของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์และสภาพเศรษฐกิจ

2.ธุรกิจการลงทุนหุ้น / กองทุนรวม

กองทุนหุ้นและกองทุนรวมเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้าง Passive Income เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องลงแรงทำงานมาก เพียงแค่ศึกษาหาความรู้และเลือกลงทุนให้ถูกจุด ก็สามารถสร้างรายได้จากเงินปันผลได้

เงินปันผลของกองทุนหุ้นและกองทุนรวมจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินต้นที่ลงทุน โดยสมมติว่าคุณต้องการมีรายได้จากเงินปันผลเดือนละ 10,000 บาท เท่ากับปีละ 120,000 บาท หากกองทุนของคุณมีอัตราปันผลรายปีอยู่ที่ 10% เท่ากับว่าคุณต้องมีเงินต้นอยู่ในกองทุนทั้งหมด 1,200,000 บาทจึงจะได้ตามที่ตั้งไว้

แต่คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนทีเดียว 1,200,000 บาท สามารถทยอยลงทุนได้เรื่อย ๆ ตามจำนวนที่คุณไหว โดยอาจจะเป็นสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง

หากเลือกลงทุนกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็จะคล้ายกับการฝากเงินเข้าธนาคารเป็นประจำ ไม่ต้องกังวลว่าเงินจะมีหาย  แถมได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอีกด้วย

3.สร้างสื่อออนไลน์สร้างรายได้แบบ Passive Income

การสร้างสื่อออนไลน์สามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ให้คุณได้ เพียงแค่คุณมีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการผลิตสื่อที่มีคุณภาพ เช่น วิดีโอ บทความ หรือบล็อก จากนั้นก็นำสื่อเหล่านั้นไปเผยแพร่บนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook YouTube หรือ TikTok

เมื่อมีคนเข้าชมสื่อของคุณ เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มเหล่านั้นก็จะแสดงโฆษณาสอดแทรกให้กับผู้ชม ซึ่งคุณจะได้รับรายได้จากจำนวนครั้งที่โฆษณาเหล่านั้นถูกคลิกหรือถูกดู

รายได้จากการสร้างสื่อออนไลน์จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าชมและประเภทของสื่อที่คุณผลิต ยิ่งมีคนเข้าชมมากเท่าไหร่ รายได้ของคุณก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ สื่อที่คุณผลิตยังสามารถสร้างรายได้ให้กับคุณในระยะยาวได้อีกด้วย

4.ธุรกิจให้บริการออนไลน์

ธุรกิจให้บริการออนไลน์เป็นธุรกิจที่ให้บริการต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การทำเว็บไซต์ เขียนบทความ ออกแบบกราฟิก เป็นต้น โดยผู้ให้บริการจะได้รับรายได้จากค่าบริการ ซึ่งถือเป็นรายได้ระยะยาว ความเสี่ยงของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาด

5.ธุรกิจขายสินค้าแบบ Drop shipping

Drop shipping คือการที่คุณขายสินค้าออนไลน์ โดยไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง โดยทำหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งสินค้า เมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้า คุณก็เพียงแค่แจ้งข้อมูลการจัดส่งและชำระเงินให้ผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่งสินค้าเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าแทน

หากคุณมีทักษะการขายที่ดี และสนใจที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์ การขายสินค้าแบบ Drop shipping ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ คุณสามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก และมีโอกาสสร้างรายได้ได้สูง

การสร้าง Passive Income นั้นต้องใช้เวลาและการลงทุน ที่สำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

รู้จักฐานข้อมูล Big Data ตัวช่วยธุรกิจ Marketplace Online

ฐานข้อมูลของ Big Data แปลตรงตัวก็คือฐานข้อมูลใหญ่ หรือฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากยุคก่อนๆ ที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้วิธีการบันทึกข้อมูลด้วยการจดหรือ Mannual เพราะยังไม่มีระบบคลาวด์ออนไลน์ ทำให้หาข้อมูลก็ยาก และยังเสี่ยงต่อข้อมูลเสียหายหรือสูญหายอย่างมาก แต่หลังจากโลกของเราเข้าสู่ยุคดิจิตัล Big Data ก็กลายมาเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่พร้อมเก็บข้อมูลไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล ทำให้ธุรกิจไม่ว่าจะเล็ก กลาง หรือใหญ่ ก็สามารถใช้งาน Big Data ได้

ฐานข้อมูล Big Data มีข้อดียังไง 

  • ฐานข้อมูล Big Data สามารถรองรับได้ทั้งข้อมูลแบบโครงสร้าง (structured data) เช่น ข้อมูลตัวเลข ข้อมูลตัวอักษร และข้อมูลแบบไม่มีโครงสร้าง (unstructured data) เช่น ข้อมูลภาพ ข้อมูลเสียง ข้อมูลวิดีโอ
  • ช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูล ทำให้องค์กรเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มของตลาด และสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันต่อเหตุการณ์
  • สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กร เช่น การปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดต้นทุน และการเพิ่มยอดขาย จากผลของการวิเคราะห์ข้อมูล
  • วิเคราะห์การแข่งขันขององค์กรที่ใช้ฐานข้อมูล Big Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัดความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่ง เนื่องจากสามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดและแนวโน้มต่างๆ ได้ดีกว่า

ฐานข้อมูล Big Data กับ Marketplace Online

Big Data เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่และหลากหลาย เช่น ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ข้อมูลสินค้าและบริการ ข้อมูลสถิติการตลาด เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของ Marketplace Online ในด้านต่างๆ ดังนี้

Personalization 

ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายได้ดีขึ้น ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง การเสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความสนใจของลูกค้า เป็นต้น

Recommendation

การแนะนำสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นพบสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายขึ้น เช่น การแนะนำสินค้าตามประวัติการซื้อสินค้า การแนะนำสินค้าจากความสนใจของลูกค้า เป็นต้น

Targeting 

กำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถสื่อสารและนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามความสนใจ การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ เป็นต้น

Fraud Detection

 รูปแบบการตรวจจับการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น การทุจริต การฉ้อโกง เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ Marketplace Online สามารถปกป้องลูกค้าและทรัพย์สินของ Marketplace Online

Customer Service 

เราสามารถนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาช่วยปรับปรุงการบริการลูกค้า เช่น การตอบคำถามลูกค้า การแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้า เป็นต้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีจาก Marketplace Online 

และนี่ก็คือความหมายของฐานข้อมูล Big Data ว่ามีประโยชน์และใช้งานในด้านระบบ Marketplace Online ได้ยังไงบ้าง หลักๆ ก็จะเป็นการประเมินถึงคุณภาพของระบบการจัดการทั้งหมด ดูองค์รวมเพื่อประมวลผลออกมา รวมถึงการนำไปใช้ปรับปรุงการดูแลลูกค้า ว่ามีข้อควรปรับตรงไหนบ้าง หรือควรแก้ไขอะไรยังไงต่อไปในอนาคตได้

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

ธุรกิจ Drop Shipping ขายของแบบไม่สต็อคสินค้า ดียังไง

การเริ่มต้นทำธุรกิจหรือการขายของออนไลน์ในปัจจุบัน มีธุรกิจเติบโตขึ้นมากมาย และวิธีการขายก็เพิ่มขึ้นตาม เช่นการเป็นนายหน้าสินค้า หรือการทำ Affiliate ที่เป็นการเสนอสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ส่วนตัวของเราเอง หรือการทำธุรกิจแบบ Dropship ที่ไม่ต้องสต็อคสินค้าก็สามารถเริ่มขายได้เลย

การขายแบบ Drop Shipping (ดรอปชิป) คืออะไร

รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ร้านค้าไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง แต่อาศัยซัพพลายเออร์เป็นผู้ดำเนินการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยตรง เมื่อลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจากร้านค้า ระบบจะแจ้งคำสั่งซื้อไปยังซัพพลายเออร์ จากนั้นซัพพลายเออร์จะดำเนินการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยร้านค้าจะทำหน้าที่การตลาดและขายสินค้าเท่านั้น

ข้อดีของธุรกิจ Drop Shipping

  • ไม่ต้องลงทุนสูง ในการทำธุรกิจ Drop Shipping ไม่จำเป็นต้องมีสินค้ามาสต็อกไว้เป็นจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนก้อนใหญ่ในการเริ่มต้นธุรกิจ
  • มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนสูง จึงมีความเสี่ยงต่ำในการขาดทุน
  • ทำธุรกิจได้ง่ายและประหยัดเวลา เพียงเปิดร้านค้าออนไลน์และโพสต์สินค้าที่ต้องการขาย ก็สามารถสร้างรายได้ได้ทันที
  • ไม่ต้องกลัวสินค้าไม่ตรงปก เนื่องจากสินค้าจะถูกส่งตรงจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายไปยังลูกค้าโดยตรง จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าจะตรงกับที่โฆษณาไว้แน่นอน

ข้อควรระวังของธุรกิจ Drop Shipping

  • ต้องแข่งขันกับร้านค้าอื่นๆ จำนวนมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม จึงมีร้านค้า Drop Shipping จำนวนมากเกิดขึ้น
  • อาจมีปัญหากับผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย หากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ตามกำหนด อาจส่งผลเสียต่อร้านค้า

สรุปแล้ว ธุรกิจ Drop Shipping เป็นธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ โดยมีข้อดีหลายประการ เช่น ไม่ต้องลงทุนสูง ความเสี่ยงต่ำ ทำธุรกิจได้ง่ายและประหยัดเวลา อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและวางแผนให้ดีก่อนเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อให้ประสบความสำเร็จ

โปรแกรมบัญชี AccCloud เป็นโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน เป็นโปรแกรมระดับ ERP แต่ราคาระดับโปรแกรมบัญชีทั่วไป เหมาะกับองค์กรขนาดกลาง-ใหญ่ เข้าชมบริการเพิ่มเติมได้ที่ โปรแกรมบัญชี AccCloud

5 เหตุผลสำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรใช้ระบบ ERP

ในยุคดิจิทัล การแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรงมากขึ้น ธุรกิจทุกขนาดจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรพิจารณาคือ ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning)

ระบบ ERP เป็นระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กรที่รวมเอาข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

รวม 5 เหตุผลสำคัญที่ธุรกิจ SMEs ควรใช้ระบบ ERP

ระบบ ERP เป็นระบบบริหารจัดการทรัพยากรองค์กรที่รวมเอาข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

1. ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

ระบบ ERP ช่วยรวบรวมข้อมูลและกระบวนการทำงานต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน และลดความผิดพลาดในการทำงาน  สามารถเข้าถึงข้อมูลการขายและการตลาดได้อย่างง่ายดาย ทำให้สามารถวางแผนการตลาดและการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือระบบ ERP สามารถช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน การบันทึกข้อมูลลูกค้าและคำสั่งซื้อ ทำให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. เพิ่มความแม่นยำของข้อมูล

ระบบ ERP ช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้องและครบถ้วนมากขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจของผู้บริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลการเงินอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถติดตามสถานะทางการเงินของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ ช่วยติดตามข้อมูลการผลิตและสินค้าคงคลัง ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการผลิตและควบคุมสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลดต้นทุนการดำเนินงาน

ระบบ ERP ช่วยลดความซ้ำซ้อนของงาน ทำให้สามารถลดจำนวนพนักงานลงได้ ช่วยลดต้นทุนในการจ้างงานและฝึกอบรมพนักงาน ช่วยลดขั้นตอนการทำงานซ้ำซ้อน เช่น การบันทึกข้อมูลลูกค้าและคำสั่งซื้อ ทำให้สามารถลดจำนวนพนักงานที่ทำงานในส่วนนี้ลงได้ ช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถลดเวลาในการค้นหาข้อมูลลงได้

4. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ระบบ ERP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความผิดพลาด ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกับธุรกิจอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. ยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจ

ระบบ ERP ช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจให้เทียบเท่าธุรกิจขนาดใหญ่ ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามากขึ้น  สามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำให้ธุรกิจมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น ติดตามกระบวนการทำงานต่าง ๆ ของธุรกิจ ทำให้ธุรกิจสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานได้ง่าย 

สรุปแล้ว ระบบ ERP เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับธุรกิจ SMEs ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด ลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจ SMEs ควรลงทุนติดตั้งระบบ ERP เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น 

เตรียมความพร้อมก่อนการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล

ทุกธุรกิจย่อมมีจุดเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เช่น การเปิดกิจการด้วยตัวคนเดียว เป็นบุคคลธรรมดา แต่เมื่อกิจการเริ่มมีการเติบโต ขยับขยายมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนจาก บุคคลธรรมดามาเป็นนิติบุคคล อาทิเช่น ห้างหุ่นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจัดจ้าง ที่มีสเกลกว้างและใหญ่ขึ้น แต่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้การดำเนินการนั้นง่ายขึ้นและไม่ติดปัญหาใดๆ

การเตรียมพร้อมการเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นนิติบุคคล

1. การเปิดบัญชีธนาคารในนามของบริษัท

ขั้นตอนสำคัญอยากแรกในการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลคือการเปิดบัญชีธนาคารธุรกิจในชื่อนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ บัญชีนี้จำเป็นสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินในนามของบริษัท การรับการชำระเงิน และการจัดการค่าใช้จ่าย ในการดำเนินการนี้ 

เบื้องต้นคุณจะต้องจดทะเบียนบริษัท เพื่อรับหมายเลขทะเบียนธุรกิจอย่างเป็นทางการ และเตรียมเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็นสำหรับธนาคารเพื่อใช้เปิดบัญชี

2. การทำภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)  เป็นส่วนสำคัญในด้านการเงินของนิติบุคคล กรณี ที่บริษัทมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาท/ปี ต้องจัดการทำภาษีมูลค่าเพิ่ม อ่านเพิ่มเติมได้ที่ >> ขั้นตอนการยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามระเบียบของกฏหมายได้กำหนดให้นิติบุคคล เมื่อมีการใช้จ่ายเงิน อาทิเช่น ค่าบริการ ค่าเช่า ดอกเบี้ย เงินปันผล จำเป็นที่ต้องมีการทำภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตราที่ กรมสรรพากรได้กำหนด และดำเนินการส่งให้สรรพากร ทุกวันที่ 7 ถัดจากเดือนที่ได้มีการใช้จ่าย

3. เก็บเอกสาร ใบเสร็จซื้อ – ขาย

สำหรับการเป็นนิติบุคคลต้องเก็บข้อมูลเอกสารที่สำคัญ เพื่อใช้ในการลงรายการบัญชี เมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่มีการออกส่วนของใบเสร็จการรับเงิน และรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการธุรกิจของเรา จำเป็นต้องมีบิลหรือใบเสร็จที่มีรายละเอียดครบถ้วน เพื่อนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้

4. การจัดทำบัญชี 

เอกสารทั้งหมดที่ได้รวบรวมไว้ ไม่ว่าจะเป็นบิลใบเสร็จหรือ ใบกำกับภาษีซื้อและขาย เอกสารหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในกิจการธุรกิจของเรา มาจัดการทำบัญชี หรือรวบรวมเอกสารทั้งหมดส่งให้กับ “ผู้ทำบัญชี” เพื่อส่งให้ทำการลงบัญชี ปิดบัญชี เพื่อจัดทำงบการเงินตามรอบที่กำหนด

* ผู้ทำบัญชี * : จะต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนตามกฏหมาย ซึ่งอาจจะเป็นพนักงานภายในบริษัท หรือองค์กรภายนอก เช่น สำนักงานบัญชี เป็นต้น

5. การหาผู้สอบบัญชี

ข้อสุดท้าย ส่วนของผู้สอบบัญชี นิติบุคคลจะต้องมีการจัดให้มีผู้สอบบัญชี มาตรวจสอบและประเมินงบประจำปีของบริษัท ก่อนที่จะนำส่งข้อมูลกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

* ผู้สอบบัญชี * : บุคคลภายนอกบริษัท ที่มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีงบด้านการเงินของกิจการว่ามีความถูกต้องหรือไม่

การเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลต้องเริ่ม ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคารของธุรกิจไปจนถึงการจัดการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย การรวบรวมเอกสารทางกฎหมายที่จำเป็น การเก็บรักษาบันทึกการขายและการซื้ออย่างละเอียด และการขอรับบริการจากผู้ตรวจสอบบัญชี จะทำให้รากฐานทางกฎหมายและการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าถึงการเป็นนิติบุคคลแบบเต็มรูปแบบ

Education Template

Scroll to Top