ธุรกิจ

บทความความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ในการต่อยอดหรือไอเดียการทำธุรกิจ

ข้อดีของการวางแผนทางการเงินก่อนการลงทุน เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

การวางแผนเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเราเองเลยก็ว่าได้  เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน การวางแผนต้องเป็นรูปธรรม เนื่องจากมีตัวแปรเพียงพอที่อาจส่งผลต่อการวางแผนทางการเงินของคุณ เพื่ออนาคตที่ดีมากขึ้น เราต้องเริ่มการวางแผนตั้งแต่วันนี้เลย แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงิน แต่มันเป็นเรื่องที่ดีกับตัวเราในอนาคตมากจริงๆนะ จะมีข้อดีแบบไหนบ้างมาดูกัน

ข้อดีของการวางแผนทางการเงินก่อนการลงทุน

1. บรรลุเป้าหมายทางการเงิน

ทุกคนมีเป้าหมายทางการใช้เงิน ยกตัวอย่างการเก็บเงินเพอเที่ยวรอบโรค สร้างบ้าน ปลดหนี้ หรืออื่นๆ การมีเป้าหมายในการเก็บเงินจะช่วยให้เราสามารภวางแผนได้ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าจะเก็บเงินไปเพื่ออะไร การวางแผนจะยากมาก เพราะเราไม่มีเป้าหมาย ทำให้การวางแผนไม่แม่นยำซะเท่าไหร่

แผนทางการเงินเป็นตัวกำหนดจำนวนเงินที่คุณต้องออม หรือเก็บไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ลองกำหนดจำนวนเงินที่ต้องใช่ พร้อมอายุของเราว่าจะต้องบรรลุเป้าหมายตอนไหนดู แค่นี้ก็สามารถ วางแผนการเงินได้ง่ายๆแล้ว

2. การเตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน

อุบัติเหตุ การสูญเสียทางธุรกิจ หรือความเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่เราเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ เป็นอีกหนึ่งในเหตุการณ์ของชีวิตที่ใครก็ไม่อยากเจอ เราควรให้ความสำคัญกับส่วนรี้ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หากไม่มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง ค่าใช้จ่ายที่เข้ารับการรักษาตัวเป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับพนังานที่จะจ่ายเงินรวดเดียวหมด

เพราะฉะนั้นแล้วต้องรู้จักการทำเงินประกันแบบระยะยาว ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นจะได้เบาใจในระดับหนึ่ง

โปรแกรมบัญชี

3. ความมั่นคงทางการเงิน

 ความมั่นคงทางการเงินเป็นเป้าหมายของทุกคนในโลกต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีความมั่นคงทางการเงินจากเงินเดือนรายเดือน น รายได้ต่อเดือนขึ้นอยู่กับรายได้ธุรกิจในแต่ลละเดือนแทน ทำห้ครอบครัวเป็นกลุ่มที่ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน

แต่ว่า ถ้าเรารู้จักวางแปนการเงิน ก็จะสามารถช่วยให้เราสามารถมีความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวได้ ด้วยแผนทางการเงินที่ดีเราสามารถประหยัดเงินได้มากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือน แผนทางการเงินสามารถช่วยจัดการเงินของในด้านของธุรกิจให้สามารถมียอดขายเพิ่มขึ้นได้ จากการคำนวณจำนวนเงินที่ปลอดภัยในการลงทุน แยกเงินสำหรับครอบครัวและกำไรออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น

4. ความเป็นอิสระทางการเงิน

กระปุกออมสินสอนให้เด็กรู้จักการเก็บเงินไว้ใช่ในเวลาที่จำเป็น อาจเก็บไว้เพื่อซื้อของที่อยากได้ หรือขนม แต่ ในฐานะผู้ใหญ่ทางออกในการอยากได้ของคือการกู้เงิน การทำแบบนี้อาจพ่วงมาด้วยดอกเบี้ยมากมาย ทำให้เราไม่สามารถเก็บเงินไล่ตามความฝันอย่างอื่นได้ทัน

การวางแผนการเงินที่ดี ช่วยให้เราสามารถซื้อสิ่งของที่อยากได้ โดยที่ไม่ต้องกู้ให้เสียดอก เงินส่วนที่ต้องเสียดอกก็สามารถนำมาทำอย่างอื่นได้อีกตั้งเยอะ ทำให้เรามีอิสระทางการเงินมากยิ่งขึ้นนั้นเอง

เคล็ดลับหาเงินทุนทำธุรกิจ เพิ่มโอกาสชีวิตให้ก้าวหน้า

เงินคือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน อีกทั้งยังสำคัญต่อการทำความฝันต่างๆ ให้เป็นจริง หากเรามีแผนอยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากสร้างธุรกิจหรือเป็นผู้ประกอบการอะไรด้วยตนเอง การมีเงินทุนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ก่อนการทำธุรกิจจึงต้องคิดแผนการหาเงินทุนให้รอบคอบเสียก่อน ลองวางแผนการทำธุรกิจให้ดี เราต้องการทำอะไร มีแผนยังไงบ้าง หาเงินอย่างไร ใช้จ่ายอย่างไร ศึกษาตลาดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราให้รอบด้าน เมื่อมีความพร้อมแล้ว เราก็มาเริ่มต้นหาแหล่งเงินทุนกันได้เลย เคล็ดลับการหาเงินทุนทำธุรกิจ คือ

1. เสนอแผนธุรกิจกับสถาบันทางการเงิน ธนาคาร

วิธีนี้เป็นวิธีที่มีความสะดวกและปลอดภัยมาก สถาบันทางการเงินส่วนใหญ่ล้วนพร้อมที่ให้การสนับสนุนในการทำธุรกิจ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าแผนธุรกิจของเรานั้นจะต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน มีความเป็นไปได้ในการสร้างผลกำไร มีความน่าเชื่อถือในการดำเนินงานเพียงพอ เมื่อแผนมีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริงแล้ว สถาบันก็พร้อมที่จะสนับสนุนให้เราได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อไปดำเนินธุรกิจตามที่วางแผนไว้ได้นั่นเอง

2. ขอทุนจากองค์กรที่สนับสนุนการทำธุรกิจ

การขอทุนก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เรามีทุนในการทำธุรกิจได้ดี โดยที่ไม่ต้องยื่นขอกู้หรือยื่นสินทรัพย์ค้ำประกันในการทำธุรกิจใดๆ แต่แน่นอนว่าการขอทุนล้วนมีเงื่อนไขของมัน ก่อนอื่นเราต้องศึกษาก่อนว่าธุรกิจของเราสามารถขอทุนจากองค์กรไหนได้บ้าง เพราะแต่ละองค์กรก็จะมีเงื่อนไขหรือแนวทางในการให้ทุนที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันเลยก็คือเราจะต้องเตรียมแผนธุรกิจให้พร้อม เพื่อให้องค์กรเหล่านั้นสามารถตรวจสอบแผนการทำธุรกิจของเราได้ตลอดเวลา

3. แข่งขันประกวดแผนธุรกิจกับโครงการต่างๆ

เมื่อมีแผนในการทำธุรกิจแล้ว เรามีความมั่นใจกับแผนของเราหรือเปล่า ถ้ามั่นใจแน่ๆ ว่าแผนนี้แหละดีแล้ว ไม่แพ้ใครๆ การส่งแผนธุรกิจไปประกวดก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะยุคนี้มีโครงการการแข่งขันอยู่มากมาย หากเราต้องการเงินทุนมาใช้จ่ายก็ควรเปิดโอกาสให้ตัวเองไปแข่งขันบ้างสักครั้ง โชคดีอาจได้รับรางวัลเป็นเงินทุนมากมาย ช่วยให้เรามีเงินในการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องไปกู้ยืม

4. สร้างทุนจากการพรีออเดอร์สินค้า

สินค้ามากมายในยุคนี้มีการเปิดขายแบบพรีออเดอร์ ซึ่งเป็นการให้ผู้ซื้อชำระเงินล่วงหน้าก่อนที่จะได้สินค้า โดยผู้ดำเนินการจัดซื้อก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งสินค้าและจัดส่งให้ การทำธุรกิจประเภทนี้จะไม่ต้องใช้ทุนในการซื้อสินค้าเข้าสต็อกก่อน ลดปัญหาการขายสินค้าไม่ออก โดยเรามีหน้าที่เพียงสั่งซื้อและจัดส่งตามที่ลูกค้าต้องการเท่านั้น รายได้ที่ได้รับจะเป็นการคิดส่วนต่างจากราคาสินค้าจริง ช่วยให้เราสะสมทุนได้โดยแบกรับความเสี่ยงที่น้อยกว่าการทำธุรกิจอื่นๆ

5. หาหุ้นส่วนร่วมธุรกิจของเรา

หนึ่งในผู้ช่วยเหลือในการทำธุรกิจที่ดีที่สุดก็คือหุ้นส่วน การหาแหล่งเงินทุนก็เช่นกัน ถ้าเรารู้จักผู้คนมากๆ ก็จะเปิดโอกาสให้เราพบเจอคนที่มีความสนใจตรงกันกับเราได้ง่ายขึ้น หากมีใครที่มีแนวคิดความสนใจในการทำธุรกิจแบบเดียวกันกับเรา นั่นก็จะทำให้เราสามารถพูดถึงกับเขาได้ง่ายเพื่อเจรจาขอให้เป็นหุ้นส่วนกับเราได้ แล้วตกลงแบ่งส่วนแบ่งธุรกิจตามเงินลงทุนอีกที แต่ควรตรวจสอบประวัติคนที่จะมาเป็นหุ้นส่วนให้ดีๆ นะ การทำธุรกิจของเราจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง

ก่อนเราจะเริ่มทำธุรกิจใดๆ สิ่งหนึ่งที่ต้องมีให้พร้อมเลยก็คือแผนการสร้างธุรกิจ แล้วจากนั้นก็คือการหาแหล่งเงินทุน หากเรามีแผนธุรกิจพร้อมแล้ว การหาทุนมาประกอบธุรกิจก็จะง่ายขึ้น ใครที่ยังไม่แน่ใจว่าจะหาทุนจากไหน ลองทบทวนแผนธุรกิจของตนเองให้ดี บางทีตัวเลือกต่างๆ ที่เราเสนอไปในบทความนี้อาจจะช่วยให้คุณได้พบกับแหล่งเงินทุนดีๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของคุณก็เป็นได้

วิธีบริหารจัดการเงินสำหรับผู้เริ่มต้นธุรกิจ

การมีธุรกิจเป็นของตนเองนับเป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันของใครหลายคน ทว่าการจะดูแลธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มเป็นช่วงที่มีความท้าทายมาก เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการควรมีทักษะในการบริหารจัดการเงินที่ดี ไม่เช่นนั้นก็อาจทำให้การดำเนินธุรกิจมีปัญหาติดขัด ไม่สามารถจัดการการทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความของเราจึงจะมาแนะนำวิธีบริหารจัดการเงิน เพื่อช่วยให้ผู้ทำธุรกิจทุกคนสามารถดำเนินธุรกิจราบรื่นมากที่สุด ซึ่งมีแนวทางต่างๆ ดังนี้

1. ตรวจสอบบัญชีเงินเข้า-ออกอยู่เป็นประจำ

หากต้องการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการทำบัญชีบันทึกรายรับและรายจ่ายของธุรกิจเรา วิธีนี้จะช่วยทำให้เราทราบว่าธุรกิจมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากไหน หรือมีรายจ่ายในด้านใดบ้าง หากเกิดความผิดพลาดในการจัดการทางการเงินก็จะสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทันที

2. บริหารยอดเงินรายรับและรายจ่ายให้สมดุลกับธุรกิจ

การบริหารเงินรายรับและรายจ่ายจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างเหมาะสม สามารถควบคุมการใช้เงินได้อย่างเหมาะสม ทุกธุรกิจต้องเน้นในส่วนของเงินรายรับให้มากๆ เพื่อให้องค์กรดำเนินงานต่อไปได้อย่างสมบูรณ์ ยกตัวอย่างรายได้ที่เกิดขึ้นจากธุรกิจ เช่น การขายสินค้า ขายอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ การขายสินทรัพย์ รวมไปถึงการให้บริการที่ก่อให้เกิดเงินเข้ามาในธุรกิจด้วย

ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เช่น การซื้อของเข้าสำนักงาน การชำระค่าโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์จำเป็นในการทำงาน การจ่ายเงินค่าโฆษณา ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอุปกรณ์ รวมถึงการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงานอย่างเงินเดือนและสวัสดิการ การควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมจำเป็นมาก หากมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ก็จะทำให้ธุรกิจเกิดปัญหา จึงควรระมัดระวังในการใช้จ่ายให้ดี

3. ดูแลบัญชีให้มีเงินหมุนเวียนเพียงพอตลอดเวลา

นอกจากการทำบัญชี การบริหารเงินรายรับและรายจ่ายให้สมดุลกัน อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการดูแลเงินในบัญชีให้มีเงินหมุนเวียนตลอดเวลา เราควรเตรียมเงินให้พร้อมเสมอสำหรับการดำเนินงานต่างๆ การดูแลให้รายรับกับรายจ่ายอย่างสมดุลกันไม่ได้แปลว่าเราควรมีรายจ่ายเท่ากับรายรับ อย่าใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์ไปจนหมดไม่เหลือติดบัญชีเลย เพราะหากติดปัญหาอะไรจะได้มีเงินสำรองคอยดึงมาใช้จ่ายได้ทันที เน้นให้รายรับมากกว่ารายจ่ายจะดีที่สุด

4. หมั่นปรับแผนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเสมอ

หากเราทำบัญชีและมีการตรวจสอบยอดรายรับรายจ่ายเป็นประจำ เราย่อมรู้ดีว่าธุรกิจมีรายรับส่วนไหนมาจากไหนบ้าง แล้วมีรายจ่ายด้านไหนยังไง แต่ละช่วงของการทำงานจะความเปลี่ยนแปลงทางค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเสมอ เจ้าของธุรกิจจึงต้องวางแผนการบริหารจัดการเงินให้ดีๆ และคอยปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมตามเวลาที่เปลี่ยนไป อย่าวางแผนใดแผนหนึ่งตายตัว เพราะธุรกิจจะต้องมีการเติบโตตลอดเวลา การปรับแผนเป็นประจำจะช่วงให้เราดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การมีธุรกิจเป็นของตนเองจำเป็นต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง การดูแลธุรกิจให้ดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงก็ยิ่งยากกว่า หากเราเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจก็ควรศึกษาสิ่งที่จำเป็นต่อธุรกิจอยู่เสมอ เปิดใจให้กับความรู้ใหม่ๆ อีกทั้งควรใจเย็นต่อการทำงาน หมั่นบันทึกรายรับ รายจ่าย ทำบัญชี และวางแผนในทุกการทำงานเสมอ เพราะรากฐานในตอนเริ่มต้นคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตก้าวหน้าขึ้นได้ดี ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะสำคัญทางบัญชีที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่ควรพลาด

การดูแลธุรกิจให้เติบโตและก้าวหน้าอย่างมั่นคงนั้น ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ผู้ประกอบการทุกคนล้วนมุ่งมั่นที่จะทำให้ถึงจุดนั้น แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงมากขึ้นในแต่ละวัน หากบริษัทไม่มีการปรับตัวให้เหมาะสมก็อาจจะทำให้เสียโอกาสในการทำงาน ไม่อาจก้าวตามโลกได้ทันก็เป็นได้ หากเราอยากให้ธุรกิจของเราดำเนินงานได้อย่างมรประสิทธิภาพแล้ว เราควรให้ความสำคัญกับการทำบัญชีให้มากๆ และหมั่นฝึกฝนทักษะที่จำเป็นต่อการบัญชี เพื่อให้องค์กรของเรามีทักษะที่เข้มแข็งมากพอที่จะบริหารธุรกิจต่อไปได้ ทักษะทางบัญชีที่สำคัญ มีดังนี้

 

1.มีทักษะด้านการทำงานบัญชีแต่ละระบบเป็นอย่างดี เช่น ระบบซื้อ-ขาย การจัดการคลัง

 

การทำงานด้านบัญชีนั้นจะมีอยู่หลายส่วน แต่ละส่วนทำงานแยกกันเป็นระบบ เพื่อให้บริษัทหรือองค์กรบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร้อุปสรรคปัญหา ทักษะแต่ละด้านในการบัญชีจึงสำคัญมาก ทั้งการดูแลระบบซื้อ ระบบขาย ระบบสินค้าคงคลัง ระบบการผลิต ระบบบัญชี ระบบภาษี หากขาดทักษะในระบบใดระบบหนึ่งไปก็อาจทำให้ไม่สามารถทำงานด้านบัญชีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ประกอบการทุกคนจึงควรศึกษาให้เข้าใจงานบัญชีอย่างรอบด้าน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น

 

2.มีทักษะด้านกระบวนการทำบัญชี การบันทึก ลงข้อมูลบัญชี

 

หากเราต้องการทำธุรกิจให้ก้าวหน้าและมีผลกำไร การบันทึกข้อมูลบัญชีอย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ข้อมูลตัวเลขค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งต้นทุน ค่าดำเนินงาน รายได้ ผลกำไร ผลตอบแทนธุรกิจ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นผลลัพธ์ของการทำธุรกิจได้ชัดเจนขึ้น สะดวกต่อการวางแผนงานต่างๆ ในอนาคต

 

3.มีทักษะในการวิเคราะห์และบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

 

เมื่อเรามีการทำบัญชีแล้ว ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในบัญชีจะเป็นแนวทางที่ช่วยให้เราบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ผู้ทำธุรกิจทุกคนก็ควรมีทักษะความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดีด้วย จึงจะช่วยให้นำข้อมูลทางบัญชีไปใช้ได้อย่างเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งมีทักษะการวิเคราะห์และการบริหารค่าใช้จ่ายมากเท่าไร โอกาสที่ธุรกิจจะเจริญเติบโตไปได้ไกลก็มีมากเท่านั้น

 

4.มีทักษะด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำบัญชี

 

ความรู้ด้านกฎหมายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการทำธุรกิจ ยิ่งเป็นการทำบัญชีด้วยแล้ว หากลงข้อมูลผิดพลาดก็อาจเป็นผลเสียต่อบริษัทหรือองค์กรของเราอย่างไม่ตั้งใจขึ้นมาได้ นักบัญชีที่ดีต้องมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายด้านบัญชีบ้าง เพื่อให้สามารถจัดการการทำบัญชีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กรณีที่มีการทำรายงานการจัดซื้อ การขาย การจ่ายภาษี นักบัญชีที่มีทักษะนี้ก็จะสามารถทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา

 

5.มีทักษะในการบริหารจัดการและประสานงานที่ข้องเกี่ยวกับการทำบัญชี

 

การทำบัญชีเป็นงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำงานหลายด้าน หากขาดทักษะการบริหารหรือการประสานงานแล้ว การจะดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพก็จะเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ผู้ประกอบการทุกคนจึงควรมีทักษะในด้านนี้ให้มากๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานบัญชีเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาการขาดทุน ป้องกันการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ช่วยให้การดำเนินงานมีความงเหมาะสมมากขึ้น ช่วยให้การดูแลด้านการซื้อ-ขาย การจัดการคลัง การจ่ายภาษี มีการดำเนินงานที่ดี ถูกต้องตามหมาย ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในองค์กร เมื่อเรามีทักษะเหล่านี้ครบถ้วนแล้ว ธุรกิจของเราก็จะเจริญเติบโตและก้าวหน้าอย่างมั่นคงได้เป็นอย่างดีนั่นเอง

โปรแกรมบัญชี
ทักษะสำคัญทางบัญชีที่ผู้ประกอบการทุกคนไม่ควรพลาด

การทำบัญชีชุดเดียวคืออะไร มีข้อดียังไงบ้าง­­

ธุรกิจและการทำบัญชีนับว่าเป็นของคู่กันที่ขาดกันไม่ได้ เมื่อเราเริ่มต้นบริษัทหรือองค์กรอะไรสักอย่างขึ้นมา เราก็จะต้องมีเงินทุนตั้งต้น เงินในการดำเนินงาน และมีค่าใช้จ่ายอีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งกว่าที่เราจะบรรลุเป้าหมายของธุรกิจของเราได้นั้น หากไม่มีการบริหารจัดการทางการเงินที่ดีพอก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียขึ้น ยอดเงินที่ลงทุนลงแรงไปก็อาจจะเสียเปล่า ขาดทุน ไม่มีผลกำไรกลับคืนมา วิธีป้องกันปัญหาก็คือการทำบัญชี ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นถึงข้อมูลตัวเลขและความเป็นไปในธุรกิจได้อย่างชัดเจน ยิ่งถ้าต้องการดูผลลัพธ์ของธุรกิจแบบสรุปทุกข้อมูลเอาไว้ เราก็ควรจัดเก็บข้อมูลแบบบัญชีชุดเดียว


มารู้จักกับบัญชีชุดเดียว


บัญชีชุดเดียว คือ การจัดทำบัญชีโดยรวบรวมข้อมูลการทำบัญชีต่างๆ เช่น ข้อมูลรายรับ รายจ่าย และเอกสารทางการเงิน มารวมเข้าไว้ในบัญชีเดียว มีการจัดลงข้อมูลเอกสารการลงบัญชีอย่างชัดเจน ไม่มีการหลบเลี่ยงหรือแยกบัญชีเพื่อหนีภาษี ข้อมูลบัญชีชุดเดียวจะมีความครบถ้วน สมบูรณ์ สามารถนำไปยื่นเสียภาษีอากรได้ถูกต้องตามกฎหมาย


ข้อดีของบัญชีชุดเดียว


1. ตรวจสอบบัญชีง่าย สามารถเช็คข้อมูลกำไร-ขาดทุนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว


เป้าหมายหลักของการทำบัญชี คือ การเก็บข้อมูลการเงินเพื่อให้บริหารจัดการงานด้านการเงินของบริษัทได้อย่างเหมาะสม ซึ่งบัญชีจะมีการลงข้อมูลค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งรายรับ รายจ่าย ต้นทุน ผลกำไร ยอดขาย ผลลัพธ์ของการลทุน พร้อมสรุปผลให้เห็นเป็นตัวเลขอย่างชัดเจน เมื่อเรารู้ข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดก็จะบริหารงานได้ง่าย สามารถเช็คข้อมูลความถูกต้องของบัญชีได้ตลอดเวลา


2. ช่วยให้ประเมินผล และวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การทำบัญชีนั้นจะช่วยให้เราเห็นผลชัดเจนว่าธุรกิจของเรามีผลกำไรมาน้อยเพียงใด แผนการดำเนินงานของบริษัทหรือองค์กรควรจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหนบ้าง เมื่อเรารู้ตัวเลขต้นทุน ค่าใช้จ่าย เราก็จะรู้ว่าควรมีการปรับแผนให้เหมาะสมมากขึ้นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้การทำงานของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น


3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัท สามารถกู้สินเชื่อได้ตามจริง


บริษัทหรือองค์กรที่มีการทำบัญชีชุดเดียวจะมีความน่าเชื่อถือกว่าการทำบัญชีทั่วไป เพราะบัญชีเดียวมีข้อมูลรายละเอียดครบถ้วน เมื่อต้องการยื่นกู้สินเชื่อก็มีความน่าเชื่อถือ จึงมีโอกาสมากที่ธนาคารจะอนุมัติการกู้ให้กับเรา ต่างจากบัญชีที่มีการตกแต่งบัญชีอย่างผิดปกติ บัญชีเหล่านี้ที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนตรวจสอบและอาจติดแบล็คลิสต์จากธนาคาร


4. วางแผนภาษีได้ง่าย คิดภาษีธุรกิจโดยตรงได้แบบไม่เกิดปัญหา


บัญชีชุดเดียวเป็นการรวบรวมข้อมูลของการทำบัญชีของบริษัททั้งหมดไว้ในที่เดียว เมื่อเราจำเป็นจะต้องคำนวณค่าใช้จ่ายของภาษีก็สามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปคิดได้ทันที ไม่ต้องปวดหัวกับการรวมตัวเลขที่ซับซ้อนอีกต่อไป ช่วยให้สามารถจัดการกับภาษี ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจ และวางแผนค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว


5. ไม่ถูกตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง


เมื่อคุณจัดทำบัญชีชุดเดียวแล้ว ข้อมูลทางบัญชีนั้นถือเป็นข้อมูลที่มีความละเอียด ครบถ้วน และชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ง่าย จ่ายภาษีได้อย่างถูกต้อง ไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย ภาครัฐจึงมีมาตรการยกเว้นการตรวจสอบบัญชีย้อนหลังให้แก่บริษัทหรือองค์กรที่มีการจัดทำบัญชีชุดเดียว คุณจึงไม่ต้องกังวลกับปัญหาภาษีย้อนหลังเลย
การทำบัญชีชุดเดียวถือเป็นวิธีการหนึ่งที่ทุกธุรกิจควรนำไปปรับใช้ เพราะช่วยให้ธุรกิจและองค์กรของคุณสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น สามารถคำนวณเงินต้นทุน เงินลงทุน ยอดผลกำไร ขาดทุน ยอดโบนัส ผลประกอบการต่างๆ รวมถึงบริหารข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีได้อย่างเป็นระบบ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดความซ้ำซ้อนจากงานต่างๆ เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

การทำบัญชีชุดเดียว

ปัจจัยเบื้องต้นกับการวางแผนการผลิต

การวางแผนและควบคุมการผลิต

 

มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัดและให้เป็นที่พอใจแก่ความต้องการของลูกค้าความหมายของทรัพยากรในที่นี้รวมหมายถึงสิ่งอํานวยความสะดวกในการผลิตเช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์แรงงานและวัตถุดิบ การใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัดนั้น เป็นหน้าที่ของผู้บริหารโรงงาน โดย ผ่านหน้าที่ของฝ่ายวางแผนและควบคุมการผลิต โดยมีหน้าที่เกี่ยวกับการพยากรณ์การวางแผน การ กําหนดงาน การวิเคราะห์การควบคุมสินค้าคงคลัง และการควบคุมการดําเนินงานการผลิต

 

ดังนั้น ในขั้นตอนของการวางแผน จะต้องมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เช่น จำนวนของสินค้าคงคลัง เครื่องจักร หรือ แรงงานที่สามารถใช้ได้ ณ เวลาหนึ่งๆ ระยะเวลาในการรอคอยของลูกค้า(ความเร่งด่วน) และต้นทุนที่เกี่ยวข้องมาช่วยในการตัดสินใจ การจัดส่งต่างๆ และอื่นๆตามในรูปที่ 1 แสดงถึงตัวแปรที่เกี่ยวข้องสำหรับการตัดสินใจวางแผนการผลิต

 
 
 
 

รูปที่ 1 แสดงผังการตัดสินใจในการวางแผนการผลิต

การวางแผนและควบคุมการผลิต

1 การจัดตารางการผลิตหลัก (Master Production Scheduling : MPS)

 

การจัดตารางการผลิตหลัก (MPS) เป็นการจัดทําแผนการผลิตที่ระบุเจาะจงลงไปว่าจะ ทําการผลิตชิ้นงานอะไร จํานวนเท่าใด และจะต้องเสร็จสมบูรณ์เมื่อใด โดยทั่วไปมักจะจัดทํา ตารางการผลิตหลักเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ ข้อมูลในตารางการผลิตหลักจะมาจากการแปลงค่าจากการพยากรณ์ยอดขาย ซึ่งอาจจะคํานวณ ตามหลักทางสถิติหรือมาจากใบสั่งซื้อของลูกค้า

 

2 การวางแผนความต้องการวัสดุ (Material Requirement Planning : MRP)

 

การวางแผนความต้องการวัสดุ (MRP) เป็นเทคนิคในการจัดการเกี่ยวกับความต้องการ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบและวัสดุอื่นๆ เพื่อให้สามารถรู้ถึงปริมาณความต้องการในแต่ละ ช่วงเวลาและสามารถจัดหาได้อย่างเพียงพอและทันเวลา

 

โดยข้อมลจากตารางการผลิตหลัก (MPS) ซึ่งจะบอกถึงสิ่งที่จะต้องผลิตว่ามีจํานวนเท่าใด ในเวลาใด จากนั้นจะพิจารณาถึงส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตว่าประกอบด้วยวัตถุดิบ ชิ้นส่วน ชิ้นส่วนประกอบและวัสดุอื่นๆ อะไรบ้าง เพื่อจะใช้ในการจัดหา

 

3. การวางแผนความต้องการกําลังการผลิต (Capacity Requirement Planning : CRP)

 

การวางแผนความต้องการกําลังการผลิต (CRP) เป็นการจัดทําแผนที่เกี่ยวข้องกับการ กําหนดกําลังการผลิตที่จําเป็นสําหรับแต่ละสถานีงาน (Working Station) เช่น แรงงาน เครื่องจักร หรือปัจจัยการผลิตทางกายภาพอื่นๆ ว่าควรจะต้องมีปริมาณเท่าใด และต้องการในช่วงเวลาใด โดยจะรับข้อมลความต้องการวัสดุจาก MRP มาทําการประเมินผลเกี่ยวกับภาระงาน (Work Load) ของสถานีงานต่างๆ ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่

 

Function ต่างๆเหล่านี้สามารถพบได้ใน โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP

วิธีการลดต้นทุนการผลิต

 
 
 

 

 

วิธีการลดต้นทุนการผลิต 7 ประการ

 

1) ความสูญเสียจากการผลิตมากเกินความจำเป็น (over production) นำมาซึ่งการ Over stock ของสินค้าคงคลัง การผลิตที่มากเกินความจำเป็นหรือความต้องการของลูกค้า เนื่องมาจาก

 

1.1 ประมาณการความต้องการผลิตภัณฑ์ผิดพลาด

1.2 การวางแผนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ

1.3 อื่นๆ

 

แนวทางในการลดต้นทุนที่เกิดจากการผลิตมากเกินความจำเป็น ฝ่ายขายต้องคอยอัพเดตและวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณการสั่งซื้อของลูกค้า ฝ่ายวางแผนการผลิตต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายขายเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์

 

2) ความสูญเสียจากการรอคอย(Waiting) การรอคอยเป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์และมูลค่า

สาเหตุที่ทำให้เกิดการรอคอย วัตถุดิบไม่เพียงพอ เครื่องจักรเสีย

แนวทางในการลดต้นทุนที่เกิดจากการรอคอย มีการกำหนด safety stock ที่เหมาะสม จัดทำแผนการบำรุงรักษาเครื่องจักร (preventive maintenance) เพื่อลดการหยุดการผลิตที่เกิดจากเครื่องจักรเสีย(machine break down)

 

3) ความสูญเสียจากการขนส่ง(Transportation) สาเหตุของความสูญเสียจากการขนส่ง วางผังโรงงานที่ขาดประสิทธิภาพ วางแผนกระบวนการที่ขาดประสิทธิภาพ

 

 

 

การลดต้นทุนการผลิตที่เกิดจากการขนส่ง ทำการปรับผังกระบวนการผลิตและผังโรงงานโดยคำนึงถึงความต่อเนื่อง,

 

4) ความสูญเสียจากการเก็บวัสดุคงคลังมากเกินไป(Excess Inventory) สาเหตุของของสูญเสียจากการเก็บวัสดุคงคลังมากเกิน เป็นผลมากจากการผลิตที่มากเกิน จำนวนจัดเก็บเพื่อความปลอดภัย และ ปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ ไม่เหมาะสม

 

การลดต้นทุนที่เกิดจากการจัดเก็บวัสดุคงคลังมากเกินไป ทบทวน Minimum Stock และ Safety Stock ทบทวนแผนการผลิต

 

 

 

5) ความสูญเสียที่เกิดจากงานเสีย(Defect) สาเหตุของความสูญเสียจากงานเสีย พนักงานขาดทักษะ ประมาท เลินเล่อ วิธีการทำงานไม่เหมาะสม วัตถุดิบไม่มีคุณภาพ เครื่องจักรประสิทธิภาพต่ำ การลดต้นทุนที่เกิดจากงานเสีย โดยปกติแล้วงานเสียที่เกิดในกระบวนการผลิตทางหน่วยงานด้านคุณภาพจะเข้ามาวิเคราะห์ร่วมกันกับฝ่ายผลิตเพื่อสาเหตุของงานเสีย

 

6) ความสูญเสียที่เกิดจาการเคลื่อนไหวมากเกินไป(Excess Motion) สาเหตุของการสูญเสียที่เกิดจากการเคลื่อนไหวมากเกินไป วิธีการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ ทักษะของพนักงานไม่เพียงพอ ผังของกระบวนการไม่เหมาะสม

 

 

 

การลดต้นทุนการผลิตที่เกิดจากเคลื่อนไหวมากเกินไป ใช้หลักการของ work study เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ แก้ไข และปรับปรุง จัดทำวิธีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน

 

7) ความสูญเสียของกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าหรือผลิตภัณฑ์ (Non-Value Added Processing) สาเหตุของความสูญเสียที่เกิดจากกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า ขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนอย่างแท้จริง ยึดติดกับวิธีการเก่าที่ทำต่อเนื่องกันมา เลยทำให้อยากที่จะเปลี่ยนแปลง การลดต้นทุนการผลิตที่เกิดจากกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า มีการวิเคราะห์และศึกษากระบวนการอย่างเป็นระบบ ใช้หลักการของวิศวกรรมคุณค่า (Value Engineering) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์

 
 
 
 

โปรแกรมบัญชี www.acccloud.tech

 

 

 

 

 

 

องค์กรแห่งการเรียนรู้ คืออะไร

คำว่าการเรียนรู้นั้นเป็นหัวใจสำคัญของการเติิบโตขององค์กร ดังนั้นองค์กรที่ดีจะต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวไว้ว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นองค์กรที่ทำงานผลิตผลงานไปพร้อม ๆ กับเกิดการเรียนรู้ สั่งสมความรู้ และสร้างความรู้จากประสบการณ์ในการทำงาน พัฒนาวิธีทำงานและระบบงานขององค์กรไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง ผลลัพธ์ (Output) ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ ผลงานตามภารกิจที่กำหนด การสร้างศาสตร์หรือสร้างความรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจขององค์กรนั้น รวมทั้งการสร้างคน อันได้แก่ ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กร หรือมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับองค์กร จะเกิดการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยอาศัยการทำงานเป็นฐาน องค์กรแห่งการเรียนรู้ จะมีลักษณะเป็นพลวัต (dynamic) มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของพัฒนาการด้านต่าง ๆ คล้ายมีชีวิต มีผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ และการสร้างนวัตกรรม (innovation) รวมทั้งมีบุคลิกขององค์กร ในลักษณะที่เรียกว่า วัฒนธรรมองค์กร (Corporate Culture) ที่ผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์สามารถรู้สึกได้

 
โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
 
 
 

แนวทางในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ตามแนวคิดของ Senge (1992) มีหลักการพื้นฐานทั้งสิ้น 5 ประการ ดังนี้

 

1. ความรอบรู้แห่งตน ( Personal Mastery ) ความเชี่ยวชาญ ( Proficiency) ของคนสามารถเข้าใจและชัดเจนในเป้าหมายของชีวิต สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตตนเองได้ สามารถค้นหาและกำหนดวิสัยทัศน์(Vision) ของตนเองได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง

 

2. แบบแผนทางความคิด (Mental Model) หรือ โลกทัศน์ของตนเองที่เข้าใจต่อโลก ต่อหน่วยงาน องค์กร หรือธุรกิจ

 

3. วิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared Vision) การมีวิสัยทัศน์ร่วมกันของคนทั้งองค์กรเป็ฯการสร้างทัศนะการร่วมมือทำงานกันอย่างมุ่งมั่นและไปในทิศทางเดียวกันของทั้งองค์กร

 

4. การเรียนรู้ของทีม (Team Learning) การถ่ายทอดความรู้ร่วมกันภายในทีม เพื่อเป็นการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ภายใต้บริบทของการร่วมมือประสานงานกัน

 

5. การคิดอย่างเป็นระบบ ( Systematic Thinking) การที่บุคคลมีแนวคิดแบบองค์รวมสามารถมองภาพรวมของการทำงานได้อย่างเป็ฯระบบ ซึ่งช่วยให้มองเห็นรูปแบบปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

 

นอกจากนี้ Marquardt (2002) ได้เสริองค์ประกอบที่ช่วยสนับสนุนการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อีก 2 ประการคือ

 

1. การจัดการความรู้ (Knowledge Management) ซึ่งประกอบด้วยการจัดการความรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กรเพื่อนำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ใหม่

 

2. การใช้เทคโนโลยี ( Technology Application ) หมายถึงการนำเอาความสามารถทางด้านเทคโนโลยีที่สามารถก้าวนำหน้าองค์กรอื่นๆได้

 
 

โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP เกิดจากประสบการณ์ และ การเรียนรู้จากหลายๆองค์กร ซึ่งพัฒนาร่วมกันมาเป็นความสามารถของโปรแกรมบัญชี

 
 

ที่มา www.acccloud.tech

 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 

วิธีการหาจุดสั่งซื้อสินค้าที่ประหยัดที่สุด

 
 

หากท่านทำธุรกิจด้านการผลิต มักจะมีคำถามว่าจะสั่งซื้อวัตถุดิบเมื่อไหร่ดี จำนวนละเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ในบทความนี้จะอธิบายวิธีการคำนวณจำนวนและ ช่วงเวลาในการสั่งซื้อที่เหมาะที่สุดแบบง่ายๆให้ทุกท่านอ่านกันครับ

 

การหาจุดสั่งซื้อที่ประหยัด เป็นเทคนิคในการคำนวณจำนวนในการสั่งซื้อที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องทราบด้วยเช่นกันว่า ในปีนั้นๆต้องสั่งสินค้าเท่าไหร่ เทคนิคนี้จะมีไว้เพื่อบริหารคลังสินค้าไม่ให้มีสินค้าคงคลังเหลือมากหรือน้อยเกินความจำเป็น

 

(โดยทั่วไปการที่มีสินค้าเหลือมากเกินไปจะทำให้เกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าสูงมาก ในขณะสินค้าที่เหลือน้อยเกินไปอาจเกิดความเสี่ยงต่อการผลิต หรือ สินค้าหมดและเสียโอกาสในการขายได้)

 

จุดสั่งซื้อที่ประหยัดหรือ Economic Order Quantity (EOQ) จึงเป็นวิธีคำนวณที่ช่วยให้สามารถสั่งสินค้าได้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามมีข้อระวังคือ EOQ อาจจะคลาดเคลื่อนได้ในกรณีที่ประมาณการสินค้าที่ต้องการใช้ในแต่ละปี (D) มากหรือน้อยเกินไปจากความเป็นจริง ดังสูตรนี้

 
 
 
 

เมื่อ D คือ ปริมาณความต้องการสินค้าทั้งปี

 

S คือ ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อแต่ละครั้ง

 

H คือ ต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าต่อหน่วยต่อปี

 

เช่นบริษัท A มีความต้องการสินค้าต่อปีเท่ากับ 7000 หน่วย โดยต้นทุนในการสั่งซื้อแต่ละครั้งเท่ากับ 20 บาท และมีต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้า 1.5 บาทค่อหน่วยต่อปี วิธีคำนวณ D = ความต้องการต่อปี 7000 หน่วย

S = ต้นทุนการสั่งซื้อครั้งละ 20 บาท H = ต้นทุนจัดเก็บ 1.5 บาท

 

ดังนั้น EOQ = 432 ชิ้น

 

ต้องสั่ง = 7000/432 = 16 ครั้งต่อปี

 

ใน 1 ปี ทำงาน 250 วัน ต้องใช้เวลาสั่งประมาณ 250/16 = 15 วันสั่งครั้งนึง

 

ที่มา: www.acccloud.tech

การตลาด 4.0 คืออะไร และจะช่วยอย่างไรในธุรกิจเราได้

 
 
 

การตลาด 4.0 เป็นวิธีการทำตลาด แบบonline + offline ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้าเข้าด้วยกัน โดยใช้การเชื่อมต่อให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า เพื่อสร้างแบรนด์ โดยเป็นการกำหนดนิยามใหม่ให้กับการตลาด ซึ่งการตลาด Digital และการตลาดแบบ Traditional จะสามารถดำเนินการควบคู่กันไปในการตลาด 4.0 โดยมีเป้าหมายเพื่อชนะใจลูกค้า “แก่นแท้ของการตลาด 4.0 คือการเข้าใจถึงการเปลี่ยนบทบาทของการตลาดแบบดั้งเดิม ร่วมกับการตลาดดิจิทัลในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า”

 

แนวทางสำคัญของการตลาด 4.0 เริ่มจากการตลาดที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ ซึ่งเน้นการทำให้แบรนด์มีคุณลักษณะคล้ายมนุษย์ จากนั้นจะศึกษาเรื่องการตลาดคอนเทนต์ (Content Marketing) ให้ละเอียดยิ่งขึ้นเพื่อสร้างบทสนทนาที่โดนใจผู้บริโภค รวมทั้งการนำการตลาดแบบเข้าถึงแบรนด์ได้ทุกช่องทาง หรือ Omnichannel Marketing มาใช้เพิ่มยอดขาย

 

หลักการของ Thailand 4.0 จะเน้นอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ

 

1.) เปลี่ยนแปลงจากการผลิตสินค้าทั่วไป เป็นสินค้าเชิงนวัตกรรมมากขึ้น 2.) มีการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์มาใช้ในอุตสาหกรรม 3.) เปลี่ยนจากประเทศที่รับจ้างการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เป็นการเน้นภาคบริการมากกว่าเดิม

 

5 กลยุทธ์สำหรับ Marketing 4.0

 
โปรแกรมบัญชี AccCloud.co
 
 
 
 

Aware – รู้จักสินค้า Appeal – ชื่นชอบสินค้า Ask – เรียนรู้ (เช็ครีวิว – ถามเพื่อน – โทรติดต่อ call center – เช็คราคา) Act – ซื้อจากร้านหรือออนไลน์ ตัดสินใจใช้บริการ Advocate – ใช้ซ้ำ หรือแนะนำให้คนอื่น กลายเป็นผู้สนับสนุนให้กับแบรนด์

 
 

ดังนั้นเราสามารถปรับแนวคิดของ Marketing4.0 มาใช้ในธุรกิจได้ดังนี้

 
  1. การนำเสนอข้อมูลสินค้าให้ตรงกลุ่ม โดยดูจากข้อมูล

  2. การใช้ข้อมูล และ เครื่องมืออำนวยความสะดวกออนไลน์ ตัวอย่างเช่น การใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud ERP เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเป็นต้น

  3. เมื่อเราทราบข้อมูลแล้ว การมุ่งไปที่กลุ่มเห้าหมายย่อมทำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

  4. สามารถรับฟังเสียงตอบรับและความคิดเห็นลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น

  5. สามารถสร้างช่องทางการขายออนไลน์ได้ ไม่จำกัด

  6. สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น

สามารถเข้าใช้โปรแกรมบัญชีได้ที่ >>> โปรแกรมบัญชี AccCloud ERP

 
บทความที่เกี่ยวข้อง
 
 

Education Template

Scroll to Top