การลงทุนในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 มีความหลากหลายมากขึ้น โดยในภาคส่วนต่างๆ มีศักยภาพในการเติบโตสูง ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีโอกาสมากมายสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งบุคคลทั่วไป
การลงทุนนั้นไม่มีข้อกำจัด เรื่องของเงินว่าต้องลงทุนที่เท่าไหร่ และเราจะมาแนะนำการลงทุนต่างๆ ที่สามารถสร้างกำไรได้ ด้วยการยกตัวอย่างการลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาทสามารถทำอะไรได้บ้างและผลกำไรจะออกมาเป็นยังไง แต่อันดับแรกที่เราต้องรู้เลยคือการลงทุนต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง
ข้อควรพิจารณาก่อนเริ่มการลงทุน
- เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็น
เงินเย็นเป็นเงินที่ได้จากการเหลือเก็บ เป็นเงินที่ไม่จำเป็นต้องนำไปใช้จ่ายอะไร แต่ถ้ายังมีพัธที่อาจจะต้องใช้เงินตรงนี้แนะนำให้อย่าพึ่งลงทุนจะดีกว่า
- ต้องมีเงินสำรอง
ก่อนจะลงทุนควรมีเงินทุนสำรองไว้ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้ามีเงินสำรองใช้จ่ายเพียงพอ ค่อยมาลงทุน และจะได้ไม่เสี่ยงไปกู้เงินหรือยืมเงินคนอื่นอีกด้วย
- ลงทุนไปเพื่ออะไร
หาเป้าหมายในการลงทุน เพื่อที่จะได้จัดสรรปันส่วนของการลงทุนออกได้อย่างถูกจุด และตรงความต้องการ เช่น ใช้ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือไว้จัดงานแต่งงาน
- ต้องการใช้ระยะเวลาเท่าไหร่
คำนวณระยะเวลาที่ต้องการลงทุน เพื่อนำมาพิจารณาว่าเราควรเลือกลงทุนกับอะไร ลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว จะได้ไม่ลงทุนผิดประเภท
- พร้อมรับความเสี่ยงไหม
เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ทั้งเสี่ยงที่จะได้กำไรสูง และเสี่ยงที่จะขาดทุนจนหมด จึงควรคิดและพิจารณาให้ดีก่อนว่าต้องการลงทุนไหม และลงทุนกับอะไรที่เราจะรับความเสี่ยงได้ไหว
แล้วถ้ามีงบ 10,000 บาทควรเลือกลงทุนอะไร
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าด้วยเงิน 10,000 บาท อาจจะยังไม่สามารถทำกำไรให้ผลตอบแทนที่สูงมาก ได้ แต่อาจจะทยอยเก็บผลกำไรสะสมไว้ เมื่อเวลาผ่านไปจึงค่อยนำเงินจากการทำกำไรนั้น มารวมเป็นก้อนใหญ่แล้วนำไปลงทุนเพิ่ม เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ตามวิธีต่างๆที่เราจะแนะนำต่อไปนี้
- พันธบัตรรัฐบาล
หรือพันธบัตรออมทรัพย์ ออกโดยกระทรวงการคลัง เป็นตราสารหนี้ เพื่อกู้เงินจาก ปชช. โดยส่วนใหญ่จะมีอายุ 3-10 ปี ดอกเบี้ย 2% สูงสุด 4% แล้วแต่ระยะเวลา ยิ่งนานยิ่งมีดอกเบี้ยสูง ผลตอบแทนจะไม่สูงมาก แล้วแต่อายุของพันธบัตร และดอกเบี้ยที่ได้จะถูกหักด้วยภาษี ณ ที่จ่าย 15%
- ออมทอง
การออมทองเป็นการลงทุนที่ง่าย เพราะสามารถลงทุนหลักร้อยหลักพันได้ ตามเงื่อนไขของร้านทองที่เราเลือก และเมื่อออมทองจนครบกำหนด ก็สามารถถอนทองออกมาได้ หรือเลือกฝากไว้กับร้านก็ได้ แต่ต้องเลือกร้านให้ดี และเลือกร้านที่เงื่อนไขเหมาะสมกับเรา แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งผลดีและผลเสียเพราะต้องวัดจากราคาทองว่าอยู่ขาขึ้นหรือขาลง
- การซื้อหุ้น
ด้วยงบ 10,000 บาทก็สามารถลงทุ้นกับการซื้อหุ้นได้ แต่ก็จะมีตัวเลือกให้น้อยมากตามงบ และการซื้อขายหุ้นก็ยังมีคาธรรมเนียมและภาษีที่จะถูกหักอีก เพราะฉะนั้นการลงทุนซื้อหุ้นจะไม่เหมาะสำหรับการเร่งรีบซื้อมา ขายไป เพราะอาจทำให้ขาดทุนหนัก อาจใช้วิธีซื้อทิ้งไว้ เพื่อให้ได้รับผลกำไรจากเงินปันผล หรือส่วนต่างของราคาได้ แต่การลงทุนกับหุ้นจำไว้ว่ามีความเสี่ยง 10-20% เลยที่จะขาดทุน ถ้าจะลงทุนกับหุ้นจริงๆ ขอแนะนำให้ศึกษาเกี่ยวกับหุ้นที่เราจะซื้อให้ดีก่อนตัดสินใจ
- ฝากเงินในบัญชี
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเสี่ยงขาดทุน ให้นำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูงๆ ปัจจุบัน มีการฝากทั้งแบบออมทรัพย์ดิจิทัล และเงินฝากประจำ ที่สามารถรับดอกเบี้ยได้มากถึง 3% ต่อปี ถ้านำเงินไปฝากไว้และไม่ถอนออกมาเลย เช่น
- ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 150 บาท
- ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 300 บาท
- ฝากเงิน 5,000 บาท รับดอกเบี้ย 3% ครบ 1 ปี ได้รับดอกเบี้ย 450 บาท
- การลงทุนสร้างกิจการ
การลงทุนค้าขายหรือทำกิจการเล็กๆ ของตัวเอง เป็นสิ่งที่สามารถเลือกทำตามความถนัดหรือความต้องการของตัวเองได้ เป็นนายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น
- กิจการขายอาหาร ขนม เบเกอรี่่
- กิจการขายเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ
- ซื้อแฟรนไชส์ที่เราสนใจ
- บริการดูแลสัตว์เลี้ยง
แต่การเป็นนายตัวเองก็แลกมากับความเหนื่อยที่มากขึ้น เพราะต้องลงทุน ลงแรงเอง และต้องสู้ด้วยความขยัน ถ้าเราทำได้ถูกทางผลตอบแทนก็จะดีตาม
และที่เราได้ยกตัวอย่างมาให้อ่านนี้ก็คือสิ่งที่ควรรู้ก่อนการลงทุน ว่าถ้าเรามีเงินแค่ 10,000 บาท เราควรที่จะลงทุนไหม และควรที่จะลงทุนกับอะไรเพื่อให้ เกิดผลประโยชน์สูงสุดสำหรับเรา