เดือน: สิงหาคม 2023

Freelance มืออาชีพ ต้องรู้! ความสำคัญของเอกสารทางธุรกิจที่ต้องออกเอง มีอะไรบ้าง?

อาชีพการทำงานมีหลากหลายงานและหลายรูปแบบการทำงาน บางทีก็ทำเป็นบริษัท บางที่ก็ทำเป็นหน่วยงานเล็กๆ แต่ที่มาแรงที่สุดทุกวันนี้คือการทำงาน Freelance ที่ให้อิสระที่ยืดหยุ่นได้มากกว่า การทำงานภายใต้บริษัทหรือองค์กร เพราะประสานงานกับลูกค้าได้โดยตรง ทำงานทีไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องมากังวลว่าจะต้อง WFH ไหม หรือทำงานวันหยุด เพราะ Freelance เป็นนายตัวเอง อยากทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ หรืออยากหยุดวันไหนก็ได้ แต่เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ คือการทำเอกสาร เพราะ Freelance ต้องออกเอกสารเอง ทำบัญชีเอง และอื่นๆ ตามที่ขั้นตอนของการทำงานทั่วไปทั้งหมดด้วยตัวเอง แล้วเอกสารอะไรบ้างที่ Freelance มืออาชีพ ควรรู้ไว้ เรามีคำตอบ

เอกสารเรื่องธุรกิจที่  Freelance มืออาชีพต้องรู้ไว้

เอกสารธุรกิจเป็นเอกสารที่มีความสำคัญในการทำงานมาก เพราะมีความเกี่ยวข้องด้านการเงินด้วย และอีกทั้งยังทำให้การทำงาน Freelance ของเราเนี่ย ดูเป็นมืออาชีพมากๆ น่าเชื่อถือ และจัดระเบียบงานได้เป็นอย่างดี เพราะการทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ ควรทำงานให้เป็นทางการ และเอกสารธุรกิจเหล่านี้ยังช่วยชี้แจ้งให้ได้รับข้อมมูลที่ชัดเจนกันทั้ง 2 ฝ่ายด้วย ทำให้ “เอกสารธุรกิจ” เป็นเรื่องที่ชาว Freelance ควรรู้เพราะมีผลอย่างมากในการรับงานจากบริษัทหรือองค์กรต่างๆ

มีเอกสารอะไรบ้างที่ Freelance มืออาชีพต้องออกด้วยตัวเอง

ว่าด้วยเรื่องความสำคัญของเอกสารธุรกิจไปแล้ว มีเอกสารธุรกิจอะไรบ้างที่ Freelance ต้องออกด้วยตนเองเพื่อส่งให้กับลูกค้า องค์กร หรือบริษัท ที่เราได้รับงานมาบ้าง มาดูกัน

1. ใบเสนอราคา

อันดับแรก ใบเสนอราคาหรือ Quotation เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับชี้แจงแผนการทำงานและราคา (Cost) ที่ลูกค้าต้องจ่าย เอกสารใบนี้จะหลังจากได้ผ่านการคุยงานกับลูกค้า สอบถามถึงความต้องการและขอบเขตงานต่างๆ เมื่อบรีฟข้อมูลงานกันเรียบร้อยแล้วก็จะมีการทำเอกสารตัวนี้ออกมาเพื่อส่งให้กับลูกค้าต่อไป

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบเสนอราคา

  • รายละเอียดของงาน ตามความต้องการของลูกค้า
  • ราคาการทำงาน ที่กำหนด
  • เงื่อนไขการทำงาน เช่น แก้ไขข้อมูลได้กี่ครั้ง
  • การคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากบริการ (ถ้ามี) 
  • ช่องทางการติดต่อ
  • เลขประจำตัวประชาชน

2. ใบแจ้งหนี้

ใบแจ้งหนี้หรือ Invoice เป็นเอกสารสำคัญเพราะใช้ในการเรียกเก็บเงินกับลูกค้าหลังจากเราได้ทำข้อตกลงการทำงาน อาจจะเป็นการเก็บเงินบางส่วนก่อนการเริ่มงาน การเรียกเก็บแบบแบ่งงวด หรือหลังการทำงานเสร็จสิ้นลงแล้ว

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบแจ้งหนี้

  • รายละเอียดของงานจากใบเสนอราคา
  • ยอดที่ต้องลูกค้าาต้องจ่าย
  • ระยะเวลาในการชำระยอด
  • การคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากบริการ (ถ้ามี) 
  • ช่องทางการติดต่อ
  • เลขที่บัญชีสำหรับการชำระเงิน

3. ใบเสร็จรับเงิน

แล้วตัวเอกสารของใบเสร็จรับเงินหรือ Receipt เนี่ย Freelance ต้องออกเองด้วยไหม หลายคนคงสงสัย และคำตอบก็คือ”ทำครับ” เอกสารใบเสร็จรับเงินจะใช้ออกหลังจากได้ส่งใบแจ้งหนี้ให้กับลูกค้า และได้รับยอดการชำระเงินจากลูกค้าแล้ว เพื่อใช้ยืนยันว่าได้รับยอดการชำระเงินจากลูกค้าแล้ว แต่สำหรับ Freelance นั้นไม่จำเป็นต้องมีใบกำกับภาษี ซึ่งจะต่างจากบริษัทหรือองค์กรที่ต้องมี

ข้อมูลภายในเอกสาร ใบเสร็จรับเงิน

  • รายละเอียดของงานจากใบเสนอราคา
  • จำนวนเงินที่ได้รับยอดการชำระเงิน
  • วันที่การรับเงิน
  • ช่องทางการรับชำระเงิน
  • ช่องทางการติดต่อ

เอกสารสำคัญที่ Freelance มืออาชีพต้องเก็บไว้ ห้ามลืมเด็ดขาด

การทำ Freelance ไม่เพียงแค่ต้องออกเอกสารเองเท่านั้น ยังต้องมีการเก็บเอกสารไว้อีกด้วย เอกสารที่เหล่า Freelance ต้องเก็บไว้นั้นก็คือ  “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” หรือเรียกอีกชื่อว่า “ใบทวิ 50” เป็นเอกสารที่ Freelance จะได้รับจากบริษัทหรือองค์กรที่ได้ร่วมงานกัน  เพราะต้องใช้ในการยื่นภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาในแต่ละปี และถ้าได้รับไม่ถึงเกณฑ์ก็สามารถติดต่อขอคืนได้เช่นกัน

เปลี่ยนการทำเอกสารให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud 

สำหรับ Freelance หลายๆ คนอาจจะไม่ได้มีความรู้ด้านการทำเอกสารมากนัก หรือบางคนก็อาจจะไม่เคยทำเลย การหันมาใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ AccCloud การทำเอกสารจะง่ายขึ้นเพราะมีฟังค์ชั่นให้เลือกใช้หลากหลายและปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณได้

  • ปรับแบบฟอร์มเอกสารได้ตามความต้องการ
  • รองรับการออกเอกสารในนามบุคคล
  • รองรับพร้อมกับรูปแบบเอกสารสำหรับคนทำงาน Freelance เช่น
    •  ใบเสนอราคา
    •  ใบแจ้งหนี้
    •  ใบเสร็จรับเงิน
  • ระบบการแจ้งเตือนข้อมูล
  • รองรับการเก็บข้อมูลบนระบบ Cloud ป้องกันข้อมูลศูนย์หาย
  • รองรับการ Export ไฟล์เป็น .pdf และส่งผ่าน E-mail

ถ้าคุณรู้สึกสนใจโปรแกรมบัญชี Accloud ยังสามารถ ทดลองเข้าใช้งานโปรแกรม ก่อนได้ เพื่อดูว่าระบบการทำงานแบบไหน แบบฟอร์มเป็นยังไง ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ และสำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถเข้าดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ acccloud.tech หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ติดต่อเรา

อยากเปิดธุรกิจของตัวเอง ต้องรู้จักภาษีอะไรบ้าง ?

การดำเนินธุรกิจของตัวเอง ไม่เพียงแค่เรื่องของการผลิตหรือการขายสินค้าและบริการเท่านั้น ยังต้องพิจารณาถึงเรื่องทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงภาษีที่คนทำธุรกิจต้องทำความรู้จักเพื่อประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของตนเอง

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (บุคคลธรรมดา)

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีที่คนที่มีรายได้จากการทำงานหรือกิจการต่างๆ ต้องชำระตามร้อยละของรายได้ที่ได้รับ เป็นเงินได้ที่สะสมมาจากเงินเดือน ค่าจ้างทำงานอิสระ รายได้จากการลงทุน และกิจกรรมอื่นๆ ภาษีนี้มีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามระดับรายได้ คำนวณและส่งเสียตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้รัฐมีเงินทุนในการดำเนินงานสาธารณะต่างๆ

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

VAT เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากการขายสินค้าและบริการ แต่จะถูกนำไปเก็บจากกลุ่มธุรกิจในระหว่างกระบวนการผลิตและกระบวนการจำหน่าย หรือกระบวนการส่งเสริมการขาย การคิดคำนวณภาษี VAT จะอิงตามราคาขายของสินค้าหรือบริการ และส่งเสียให้รัฐเป็นจำนวนเงินที่ได้รับจากผู้บริโภค

3. ภาษีนิติบุคคล

ภาษีนิติบุคคลเป็นภาษีที่บริษัทหรือนิติบุคคลต้องชำระจากกำไรที่ได้รับจากกิจการของตน อัตราภาษีนิติบุคคลจะแตกต่างกันไปตามกฎหมายและรัฐบาลของแต่ละประเทศ การวางแผนเรื่องภาษีนิติบุคคลจำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถจัดการกำไรให้เกิดประสิทธิภาพที่สูงที่สุด

4. ภาษีธุรกิจเฉพาะอื่นๆ

นอกจากภาษีที่กล่าวมานี้แล้ว ยังมีภาษีธุรกิจเฉพาะอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อธุรกิจ เช่น ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีป้าย ภาษีสรรพสิ่ง และอื่น ๆ ที่อาจมีการบังคับใช้ในระหว่างการดำเนินกิจการธุรกิจนั้น ๆ

ตัวอย่างกิจการธุรกิจ ที่ต้องเสียภาษี

  • ร้านค้าปลีก
  • บริษัทที่จดทะเบียน
  • ธุรกิจอิสระ
  • ธุรกิจออนไลน์
  • ผู้ประกอบการวิชาชีพ
  • โรงงาน
  • กิจการร้านอาหาร
  • ฟรีแลนซ์

การทำธุรกิจไม่เพียงแค่ความสามารถในการผลิตหรือการบริการเท่านั้น การทราบและเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกคนควรทำความรู้จัก การวางแผนเรื่องภาษีให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมายจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืนอย่างเป็นระบบ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีก่อนการดำเนินการก็เป็นสิ่งที่แนะนำอีกอย่างหนึ่งเพื่อประสบความสำเร็จในการบริหารธุรกิจของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต

ในยุคที่เทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงในสภาวะการเงิน เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารธุรกิจ การใช้งานโปรแกรมบัญชีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) และธุรกิจขนาดใหญ่ตามท้องถิ่น โดยที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบัญชีช่วยให้การจัดการทางการเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องยิ่งขึ้น

การใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP

โปรแกรมบัญชี ERP (Enterprise Resource Planning) คือระบบซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการบริหารจัดการทั้งหมดของธุรกิจ ไม่เพียงแค่ด้านการเงินและบัญชีเท่านั้น แต่รวมถึงด้านอื่น ๆ ทั้งการผลิต การจัดซื้อ การขาย การจัดการคลังสินค้า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ และกระบวนการทางธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย

ระบบ ERP ช่วยในการผสานการทำงานของระบบต่าง ๆ ในองค์กร เพื่อให้ข้อมูลและกระบวนการทำงานสามารถประสานกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยประสิทธิภาพในการใช้งาน ERP มาจากการใช้ข้อมูลที่เหมือนกันในระบบเดียวกัน ช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลที่ถูกต้องและมีความเชื่อถือได้นั่นเอง

ฟังก์ชันหลัก ๆ ของโปรแกรมบัญชี ERP

  • การบริหารงานการเงินและบัญชี: ช่วยในการบันทึกรายรับรายจ่าย, การจัดการสมุดบัญชี, การสร้างงบการเงิน, การคำนวณภาษี, และรายงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
  • การจัดการคลังสินค้า: ช่วยในการติดตามสินค้าในคลัง, การจัดการออร์เดอร์, การจัดส่งสินค้า และการจัดการระบบคลังสินค้าเพื่อให้สามารถรับ-ส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การจัดการโครงการ: ช่วยในการวางแผนและติดตามการดำเนินงานของโครงการ รวมถึงการจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้น
  • การจัดการการผลิต: ช่วยในการวางแผนการผลิต, การติดตามกระบวนการผลิต, การจัดการการสั่งซื้อวัตถุดิบ, การวางแผนการใช้วัตถุดิบ และการจัดการสินค้าสำเร็จรูป
  • การบริหารทรัพยากรมนุษย์: ช่วยในการบันทึกข้อมูลพนักงาน, การจัดการเวลาทำงาน, การคำนวณเงินเดือน, การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ และการจัดการกับข้อมูลความรู้ของพนักงาน

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต

แนวโน้มการใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต ิยังคงมีความสำคัญและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีคุณสมบัติและประโยชน์ที่ส่งผลให้ธุรกิจนั้น ๆ มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทั้งภายในและภายนอก ดังนี้

1. การบริหารจัดการทั้งหมด

โปรแกรมบัญชี ERP จะเป็นศูนย์กลางที่รวมการบริหารจัดการทั้งหมดของธุรกิจ เช่น การเงิน การผลิต การขาย คลังสินค้า ทรัพยากรมนุษย์ และกระบวนการทางธุรกิจอื่น ๆ ที่ส่งผลให้การเชื่อมโยงข้อมูลและกระบวนการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ความสามารถในการปรับแต่ง

โปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคต จะมีความสามารถในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับธุรกิจและองค์กรแต่ละแห่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกระบวนการทำงานและรายละเอียดที่เป็นพิเศษให้เหมาะสมกับความต้องการของตน

3. การใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม

การพัฒนาทางเทคโนโลยีต่าง ๆ อย่างระบบคลาวด์ (Cloud) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบเข้ารหัส (Encryption) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) จะทำให้โปรแกรมบัญชี ERP มีความสามารถในการให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและประสิทธิภาพสูงขึ้น

4. ความเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ IoT

อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่เชื่อมต่อกับโปรแกรมบัญชี ERP สามารถให้ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการผลิต คลังสินค้า การขาย และกระบวนการธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถนำมาวิเคราะห์และใช้ในการตัดสินใจได้

5. ระบบการชำระเงินและการเงินดิจิทัล

โปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคตอาจมีการรวมระบบการชำระเงินและการเงินดิจิทัลเข้ากับระบบ ช่วยในการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์และการจัดการการเงินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

6. การปรับใช้ตามกฎหมายและข้อกำหนด

โปรแกรมบัญชี ERP จะต้องสามารถปรับใช้เพื่อตรงกับข้อกำหนดทางกฎหมายและข้อกำหนดทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงได้ เช่น การปฏิบัติตามข้อกำหนดภาษี การบัญชีที่ตรงตาม GAAP และอื่น ๆ

7. การทำงานร่วมกับอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง

ส่วนใหญ่แล้ว, การทำงานร่วมกับเครือข่ายแห่งสรรพสิ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งปันข้อมูลกับคู่ค้า ผู้จัดการ ลูกค้า และอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การใช้งานโปรแกรมบัญชี ERP ในอนาคตจะเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ทั้งอยู่ในองค์กรและเชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจ โดยที่ยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับแผนกและกระบวนการทางธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดที่สุด

ประโยชน์ของโปรแกรมบัญชีในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (Small and Medium-sized Enterprises หรือ SMEs) คือธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและไม่ใช่บริษัทใหญ่หรือองค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจประเภทนี้มักมีลักษณะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับประเทศและส่วนกฎหมาย ซึ่งอาจจะกำหนดความเป็น SMEs ตามผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ธุรกิจ จำนวนพนักงาน รายได้ประจำปี หรือตัวชี้วัดอื่น ๆ ตามท้องถิ่น

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง หมายถึงอะไร

ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) หมายถึงกลุ่มของธุรกิจที่มีขนาดเล็กถึงกลางตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ธุรกิจในกลุ่มนี้มักมีลักษณะการดำเนินงานที่เป็นตัวของเจ้าของธุรกิจ มีจำนวนพนักงานน้อยกว่าบริษัทใหญ่ และมักมีทางเลือกในการจัดการและตัดสินใจที่รวดเร็วมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว มีการกำหนดข้อกำหนดเพื่อจำแนกธุรกิจขนาดเล็กและกลางตามตัวชี้วัดต่าง ๆ เช่น จำนวนพนักงาน, ยอดขายประจำปี, สินทรัพย์รวม, และอื่น ๆ ซึ่งข้อกำหนดเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือเขตภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้น การจำแนก SMEs อาจยังคำนึงถึงลักษณะด้านการดำเนินธุรกิจ เช่น ธุรกิจตามกลุ่มอุตสาหกรรม หรือลักษณะพิเศษอื่น ๆ ที่กำหนดโดยหน่วยงานหรือกฎหมายในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กและกลาง มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทในการสร้างงานและรายได้ ส่งเสริมนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ และมีส่วนในการกระจายความเจริญรุ่งเรืองในระดับพื้นที่นานาชาติอีกด้วย

ประโยชน์ของโปรแกรมบัญชีใน SMEs

  • ความแม่นยำและความถูกต้องในการบันทึกข้อมูล: โปรแกรมบัญชีช่วยในการบันทึกข้อมูลการเงินอย่างถูกต้องและมีความแม่นยำ ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากข้อผิดพลาดในกระบวนการบัญชีและการเงิน
  • รายงานทางการเงิน: โปรแกรมบัญชีช่วยในการสร้างรายงานการเงินที่สำคัญ เช่น งบการเงิน, งบทดลอง, รายงานภาษี เพื่อให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจและวางแผนธุรกิจ รวมถึงวิเคราะห์และปรับแผนการเงินเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
  • การประหยัดเวลาและทรัพยากร: ช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการบัญชีและการเงิน ช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรที่จะเสียไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจ
  • การปฏิบัติตามกฎหมายและภาษี: โปรแกรมบัญชีช่วยในการคำนวณภาษีและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการเงิน ช่วยในการป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
  • การวิเคราะห์ผลกระทบของการตัดสินใจทางการเงิน: โปรแกรมบัญชีช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบของการตัดสินใจต่าง ๆ ทางการเงินต่อธุรกิจ ช่วยให้ SMEs สามารถวางแผนเติบโตและการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การบริหารจัดการธุรกิจ: ช่วยในการวิเคราะห์สถานะการเงินของธุรกิจ ช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการและเติบโตในอนาคตได้

ดังนั้น โปรแกรมบัญชีในธุรกิจขนาดเล็กและกลาง หรือ SMEs เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจในหลายประเทศ เนื่องจากมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างงานและสร้างรายได้ รวมถึงเป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ในสังคมธุรกิจ. การใช้เทคโนโลยีและการบริหารแบบเป็นระบบจะช่วยให้ SMEs สามารถเติบโตและเหนือกว่าคู่แข่งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Education Template

Scroll to Top